กิจกรรมต่างๆ
2017
June
9
บทสัมภาษณ์ คุณหมีพูห์ ธนภณ ตัวแทนโครงการ The Australia-ASEAN Emerging Leaders Program จากประเทศไทย
โดย : Adminstrator ( จำนวนผู้เข้าชม 4768 คน )

บทสัมภาษณ์โดย Kikki - Suparkorn NETVIJIT

- พี่หมีพูห์แนะนำตัวหน่อยค่ะ

พี่ชื่อ ธนภณ นะครับ ชื่อเล่น หมีพูห์ ตอนนี้ทำบริษัทของตัวเองชื่อ Nokhook Group เป็น Social Enterprise ที่เปิดมา 3 ปี ทำหน้าที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องเกษตรกรรมยั่งยืน และก็ทำงานร่วมกับเกษตรกรรายย่อยในการหาช่องทางการตลาดที่เป็นธรรม 

- ช่วยเล่ารายละเอียดโครงการที่ได้เข้าร่วมให้ฟังหน่อยค่ะ

โครงการที่เราได้เข้าร่วมชื่อ The Australia-ASEAN Emerging Leaders Program (A2ELP) เป็นขององค์กร Asialink อยู่ใน The University of Melbourne เป็นหน่วยงานที่พยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ASEAN กับออสเตรเลีย ในโปรเจคนี้เลยเป็นการรวบรวม Social Entrepreneur จากประเทศต่างๆใน ASEAN เลือกมาประเทศละ 1 คน (ยกเว้นจากอินโดนีเซีย มี 2 คน) มาทำเวิร์คช็อปร่วมกับ Social Entrepreneur ในประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งหมด 15 คน (จาก ASEAN  11 คน และจากออสเตรเลีย 4 คน) โดยที่แต่ละคนจะมาจากแตกต่างสาขา เช่น Health Care, Environment, Education โดยวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ คือ เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคมและการสร้างเครือข่ายร่วมกัน

- คุณสมบัติของผู้สมัครโครงการนี้มีอะไรบ้างคะ

จะต้องมีประสบการณ์ทำงานอยู่ในองค์กรเพื่อสังคม หรือทำธุรกิจเพื่อสังคมของตัวเอง และต้องเข้าใจในปัญหาจริงในประเด็นที่ทำ 

- กิจกรรมในโครงการมีอะไรบ้างคะ

แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นการเข้าคลาส ทำเวิร์คช็อปร่วมกัน และก็จะมี Networking Event รวมถึงเยี่ยมชมองค์กรเพื่อสังคมต่างๆในออสเตรเลีย ระยะเวลารวมทั้งสิ้น 8 วัน อยู่ในเมลเบิร์น 6 วัน และอยู่ที่ซิดนีย์ 2 วัน 

- หลังจากเข้าร่วมโครงการ คิดว่าธุรกิจเพื่อสังคมของ “ไทย” กับ “ออสเตรเลีย” มีความแตกต่างกันมากไหมคะ

   แตกต่างกันอยู่แล้วนะ เพราะถ้าพูดตามความเป็นจริงก็ก็ต้องยอมรับว่าเราเป็น Third World กับเขาเป็น First World อย่างเรื่องของการสร้างการรับรู้ในเรื่องสิ่งแวดล้อม เขาก็มีการสอนกันตั้งแต่ยังเด็ก มีหลายๆโปรเจคของออสเตรเลียที่ก้าวไปแก้ปัญหาในประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย ในขณะที่เรายังทำโปรเจคเพื่อสนับสนุนหรือแก้ปัญหาในประเทศเราเองอยู่ 

- สิ่งที่ได้รับจากโครงการนี้ ที่สามารถปรับใช้ในอนาคต

อย่างแรก คือ ได้ Connection ได้เจอคนที่ทำในวงการเดียวกันใน ASEAN ในวันนี้เรายังอาจจะยังไม่มีโปรเจคร่วมกัน แต่ในวันหน้าอาจจะไม่แน่ รวมถึงได้เปิดหูเปิดตาในออสเตรเลียทั้งเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อม ก็เป็นการเปิดโลกให้ตัวเองด้วย  ส่วนความรู้ในด้านเกษตรกรรมที่สามารถนำมาปรับใช้น่าจะเป็นเรื่องของ Farmer Movement ให้ผลักดันเรื่องของนโยบายให้กับเกษตรกรไทย อย่างในโครงการก็จะมีบางกลุ่มกำลังความพยายามรวบรวมกลุ่ม Young farmer ในออสเตรเลีย เพื่อผลักดันและสนับสนุนเกษตรกรให้มากขึ้น 

- ขอย้อนกลับมาถามว่า อะไรคือจุดเปลี่ยนที่พี่หมีพูห์มาทำ Social Enterprise จากที่เคยทำ Business Sector คะ

“เบื่อ” คำเดียวเลย รู้สึกว่าตอนนั้นชีวิตมันไร้สาระ ก่อนหน้านี้เคยอยู่บริษัทเอกชน แล้วย้ายออกมาทำบริษัทโฆษณา แล้วงานมันก็เยอะ เข้างานเก้าโมงเช้าอยู่ถึงสี่ทุ่ม แล้วสุดท้ายก็เกิดคำถามว่าเราทำเพื่ออะไร เพื่อลูกค้าขายบัตรเครดิต ทั้งๆที่มองออกไปข้างนอกปัญหาปะการังฟอกขาว การเมือง ปัญหาในสังคมเยอะแยะไปหมด แล้วเราอุตส่าเรียนมาตั้งเยอะตั้งแยะเพื่ออะไร เพื่อมาขายบัตรเครดิต จุดนั้นเลยคิดว่าเราควรเอาความรู้เราไปทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่านี้ดีกว่าไหม รู้สึกว่าอยากโดดออกมา และส่วนตัวก็สนใจในเรื่องของการเกษตร เพราะมันส่งผลต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของคนในสังคม อย่างในปัจจุบันการทำการเกษตรมักจะใช้สารเคมีเยอะ มันก็ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม น้ำเสีย หรือส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ซึ่งมีผลวิจัยพบว่ากว่า 90% ของเกษตรกรเจ็บป่วยเพราะการใช้สารเคมีจากการเกษตร และสิ่งสุดท้ายคือต้องการลดภาวะความยากจนในเกษตรกร จะเห็นว่าตอนนี้เกษตรกรเป็นหนี้ธกส.กันมากขึ้น ถ้าเราทำให้การเกษตรให้ยั่งยืนมากขึ้น สิ่งดีๆหลายๆอย่างก็จะตามมา ทั้งสิ่งแวดล้อมดีขึ้น คนสุขภาพดีขึ้น รายได้ดีขึ้น เพราะอย่างไรประเทศไทยก็ยังเป็นการเกษตรค่อนข้างเยอะ ถ้าเราทำอย่างไรให้ดีขึ้นได้ ก็ส่งผลดีต่อหลายๆด้านต่อมา รวมถึงผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์สูงสุดอีกด้วย 

- เป้าหมายของการทำ Nokhook Group คืออะไรบ้างคะ

เราต้องการขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ อยากให้ชาวนามีรายได้ที่โอเค ไม่ใช่ยิ่งปลูกข้าวยิ่งจน ปัญหาหนึ่งมันเกิดจากการที่ชาวนาปลูกข้าวแล้วราคาขายข้าวมันต่ำกว่าต้นทุนของเขาด้วยซ้ำ ในเรื่องของราคากลางรับซื้อ ต้นทุนการผลิต ซึ่งธุรกิจของเราอยากเข้ามาเป็นตัวกลางรับซื้อที่ยุติธรรมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาตรงนี้ บางคนบอกว่าพ่อค้าคนกลางไม่ดี แต่สุดท้ายพ่อค้าคนกลางก็สำคัญ แต่จะทำอย่างไรให้เกิดราคาที่ยุติธรรมและตรวจสอบได้ และสุดท้ายแล้วพ่อค้าคนกลางจะทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

- ในอนาคตมองว่าธุรกิจจะขยายไปในทิศทางใด

ถ้าในอนาคตอันใกล้ 3-5 ปีนี้ ก็คงเป็นการขยายกลุ่มชุมชนที่ทำงาน รวมถึงขยายไลน์ผลิตภัณฑ์มากขึ้น อย่างตอนนี้จะขายแค่ข้าวกับกาแฟ ในอนาคตก็จะมีเพิ่มมากขึ้น และก็ต้องขายให้ได้มากขึ้น เช่น อย่างข้าวจะทำอย่างไรให้ขยายกลุ่มเกษตรกรได้จาก 50 คน เป็น 300 คน ก็ต้องหาตลาดมากขึ้น ตอนนี้ก็จะเน้นขายขึ้นห้าง หรือตาม Modern trade  ในอนาคตอาจจะขยายไปส่งออกนอกประเทศ เช่น ยุโรป อเมริกา หรือออสเตรเลีย ก็ต้องศึกษามากขึ้น คงต้องเน้นประเทศที่มี Organic Awareness และมีตลาดออกานิคอยู่จริง อย่างออสเตรเลียจะสังเกตได้ว่าเวลาเราไปร้านอาหารบางร้าน ในเมนูก็จะมีเขียนชัดเจนว่าอันไหนเป็นออกานิค คนก็โอเคที่จะจ่ายได้ เลยมองว่าออสเตรเลียเป็นตลาดที่น่าสนใจและคนให้ความสำคัญกับสินค้าออกานิคมากกว่าหลายๆประเทศ

- ฝากถึงเยาวชนในกลุ่ม Thaiwah Club หน่อยค่ะ

ในเรื่องประเด็น Social Entrepreneurship ก็เป็นเรื่องที่ปัจจุบันคนหันมาให้ความสนใจมากขึ้น เป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น เพราะสังคมก็แย่ลงทุกวันๆรวมถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย พี่เชื่อว่าคนที่อยู่ใน Thaiwah Club น่าจะเป็นคนที่มีศักยภาพและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล อย่างน้อยก็มี International Explore ที่สามารถทำสิ่งต่างๆได้เยอะ ก็อยากให้ทุกคนหันมาสนใจเรื่องพวกนี้กันให้มากขึ้น เผื่อว่าสักวันหนึ่งเราอาจจะได้ทำอะไรด้วยกันได้ หรืออาจจะเปิดประเด็นใหม่ของตัวเอง ซึ่งถ้ามันเติบโตได้มันก็จะ Benefit Society As a Whole