Community Zone
10 เหตุผลว่าทำไมเมลเบิร์นจึงยังคงเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก
โดย : zgamez   (18 August 2014) จำนวนผู้เข้าชม 48233 คน

10 เหตุผลว่าทำไม
เมลเบิร์นจึงยังคงเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก

ทุกๆ ปี หน่วยวิเคราะห์ Economist Intelligence Unit (EIU) จะทำการสำรวจเมืองสำคัญๆของโลกกว่า 140 เมือง เพื่อตัดสินว่าเมืองใดเป็นเมือง “ที่น่าอยู่ที่สุด” แต่ปัจจัยใดล่ะที่ถูกนำมาตัดสินว่าเมืองๆนั้น “น่าอยู่” จริงๆ  ซึ่งดูจะเป็นเรื่องจิตวิสัยอยู่เหมือนกันในการวัดคุณค่าของเมืองสักเมืองหนึ่ง เช่น คนหนุ่มสาวอาจจะให้น้ำหนักไปที่ชีวิตยามค่ำคืนและร้านอาหาร ขณะที่คนสูงอายุอาจจะชอบเมืองที่มีบรรยากาศเงียบกว่า แต่มีสวนสาธารณะมากว่า และหากมีเมืองใดที่เด่นในทุกปัจจัยทั้งหมดนั้นล่ะ จะทำให้เมืองนั้นน่าอยู่มากขึ้นอย่างไร

แต่เดิมนั้น การสำรวจภาพรวมและลำดับความน่าอยู่ของ EIU ถูกสร้างขึ้นมาเป็นมาตรวัดให้แก่พวกนายจ้างตอนมอบหมายให้เบี้ยเลี้ยงสำหรับความยากลำบาก (Hardship Allowance) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการย้ายถิ่นฐานสำหรับผู้ย้ายที่ แต่ว่าไม่เคยตั้งใจใช้ให้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของเมืองหรืออวดอ้างความเป็นที่นิยมแต่อย่างใด แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก ที่หลายปีที่ผ่านมานี้มีบางเมืองที่อยู่ในลำดับสูงๆ ใช้สิ่งนี้มาทำการตลาดในด้านการท่องเที่ยว และมันได้ผลเสียด้วย

ผลสำรวจได้นิยามความน่าอยู่โดยดูจากหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ : เสถียรภาพ การดูแลสุขภาพ การศึกษา ระบบโครงสร้างพื้นฐาน วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม

กว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เมือง 10 ลำดับแรกมักจะเป็นเมืองที่อยู่ในประเทศแคนาดาและออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความคล้ายคลึงกันมาก และอยู่ในลำดับต้นๆด้วยเหตุผลที่คล้ายกันมากอีกด้วย ทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศที่คนพูดภาษาอังกฤษ เป็นประเทศในเครือจักรภพที่มีขนาดกลาง (อ้างถึงความหนาแน่นประชากรต่ำ ไม่ใช่ขนาดทางภูมิศาสตร์ เพราะประเทศแคนาดาเป็นประเทศที่มีมวลแผ่นดินกว้างใหญ่มากที่สุดเป็นลำดับสองของโลก) ซึ่งเมืองสำคัญๆในประเทศไม่ใช่เมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค ลอนดอน ปารีส หรือโตเกียว ดังนั้นเรื่องต่างๆเช่นการจราจร การเข้าถึงสถานพยาบาล และการมีกิจกรรมนันทนาการจึงถูกจำกัดน้อยกว่า

เมืองที่อยู่ในลำดับแรกประจำปี 2013 ได้แก่ เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับเมืองหลวงของรัฐวิคตอเรียเมืองนี้ด้วย 7 ใน 10 เมืองในลิสต์นี้มาจากประเทศออสเตรเลียหรือไม่ก็แคนาดา ชี้ได้ว่าถ้าไม่ลำเอียงเพราะอังกฤษนิยม ก็เป็นเพราะทั้ง 2 ประเทศนี้มันเจ๋งสุดๆ นั่นแหละ

โรเบิร์ต ดอยล์ นายกเทศมนตรีของเมลเบิร์นเรียกมันว่าเป็น “ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่สำหรับเมลเบิร์น สำหรับการท่องเที่ยว และสำหรับชื่อชื่อเสียงด้านการศึกษาระดับนานาชาติของเรา”  นอกเหนือไปจากปัจจัย 2 ข้อดังที่กล่าวไปแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกที่อธิบายว่าทำไมเมลเบิร์นจึงเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกจริงๆ

 

10. กาแฟ


เมลเบิร์นเป็นบ้านของประชากรกรีกที่มีจำนวนมากที่สุดอันดับ 2 นอกนครเอเธนส์ และภาษาอิตาเลียนเป็นภาษาที่พูดกันมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากภาษาอังกฤษในบ้านนี้ด้วย ดังนั้นจึงชัดเจนว่าชาวเมลเบิร์นนั้นจริงจังในเรื่องกาแฟกันแบบสุดๆ  ต้นปี 2014 เมลเบิร์นได้รับการตัดสินว่ามีกาแฟที่ดีที่สุดในโลก โดยผู้อ่านเว็บไซต์ booking.com โดยเอาชนะโรม เวียนนา และซิดนีย์  วัฒนธรรมร้านกาแฟถือเป็นเรื่องเอาจริงเอาจังมาก และผู้เขียนคนนี้ก็ทำให้บาริสต้าหลายคนถึงกับหวาดหวั่นแค่เพียงเพราะเป็นชาวเมลเบิร์น ลองเดินดูตามถนนสายหลักตรงไหนก็ได้ในเขตเกรทเตอร์เมลเบิร์น แล้วคุณจะถูกกดดันอย่างหนักว่าจะหากาแฟคุณภาพดีๆไม่เจอได้ยังไง ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็ตาม   โดยเฉพาะถนน Lygon ใน Carlton อันเป็นที่เกิดของวัฒนธรรมกาแฟท้องถิ่นและเป็นเหมือน Little Italy จะทำให้คุณถึงกับทึ่ง

9. แหล่งช้อปปิ้งและร้านอาหาร


เมื่อใดก็ตามที่มีคนดังมาเยือน ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มากันบ่อยเสียด้วย คุณก็จะเจอพวกเค้าได้บนถนน Chapel ในเขต South Yarra หรือบนถนน Collins ใน CBD (Central Business District เป็นศัพท์เฉพาะของออสเตรเลียสำหรับย่าน Downtown) ในมือถือถุงช้อปปิ้งมากมายที่ล้วนปะหน้าด้วยสัญลักษณ์ของแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง เมลเบิร์นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งชอปปิ้ง ตั้งแต่แบรนด์ดังไปจนถึงห้องเสื้อที่ไม่ฮิตเท่า คุณจะเจอหมดทุกสิ่ง และนอกเหนือจากร้านกาแฟแล้ว ถนนสายหลักทุกสายนั้นเต็มไปด้วยร้านอาหารที่นำเสนออาหารจากทั่วทุกมุมโลก จากไชน่าทาวน์ไปถึงบรรยากาศแบบโบฮีเมียนเลิศๆของถนน Brunswick และไปยังบรรยากาศสบายๆของถนน Acland กับ Fitzroy ใน Bayside เรียกว่าอยากได้อะไร หาเจอแน่นอน

8. กีฬา


แล้วมีเรื่องอะไรมั้ยที่เมลเบิร์นไม่อยากจะทำได้ดี เมืองนี้ถือว่าเป็น “เขตกีฬาสำคัญ” ของออสเตรเลีย โดยมีสนามกีฬาใหญ่ๆทั้งหมดตั้งอยู่ในบริเวณสำคัญ 2 ที่ที่จะทำให้ชีวิตของทุกคนง่ายขึ้นเมื่ออยากได้ความกระฉับกระเฉง  สนามกีฬาดังๆก็มี AAMI Park (ความจุ 30,000 คน) เป็นสนามสำหรับรักบี้และฟุตบอล   สนาม Rod Laver Arena (ความจุ 15,000 คน) ซึ่งเป็นสนามใหญ่ใช้สำหรับเทนนิสรายการออสเตรเลียนโอเพ่นและสำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ๆ   สนาม Hisense Arena (ความจุ 10,500 คน) เป็นสนามบาสเก็ตบอล  และ Melbourne Cricket Ground (ความจุ 100,000 คน) เป็นสนามที่ใช้จัด Australian Rules Football  คริกเก็ต และอีเว้นต์ที่ใหญ่มากๆ (เช่นคอนเสิร์ตวง U2)

7. สถาปัตยกรรม

เมลเบิร์นคล้ายคลึงกับมอนทรีอัลมาก ตรงที่มีสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียนเรียงรายให้เห็นได้มากมาย อีกทั้งยังมีถนนที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่และปนาลี(การ์กอยล์) อยู่แทบทุกหัวมุม ตัวเมืองเองก็เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น “เมืองที่เหมือนยุโรปที่สุดในประเทศออสเตรเลีย”  ตลอดระยะเวลากว่า 2 ศตวรรษที่ผ่านมา ชาวยุโรปที่มาตั้งรกรากได้ทิ้งเอกลักษณ์ของตนไว้ผ่านทางสถาปัตยกรรมภายนอกสไตล์กอธิค หลังคาทรงโดม และพื้นอิฐของอาคารหลายต่อหลายหลังในเมืองเมลเบิร์น มัคคุเทศก์เองก็อาจจะบรรยายได้ว่า “ท้องฟ้าสีเทาที่ปกคลุมเมลเบิร์นปีละกว่า 6 เดือนช่วยเสริมสถาปัตยกรรมแบบกอธิค”   นี่ก็บอกเป็นนัยได้ว่าคุณสามารถจิบลาเต้ไปพร้อมกับเรียนรู้ประวัติศาสตร์สักนิดหน่อยได้ด้วย

6. สวน

แม้ว่าออสเตรเลียจะเป็นประเทศที่น้ำแล้งแทบจะตลอดกาลเลยก็ตาม (เมลเบิร์นตอนนี้ก็ต้องจำกัดการใช้น้ำอย่างถาวรเหมือนกัน) แต่เมลเบิร์นก็พยายามหาพื้นที่สีเขียวมาให้ประชาชนได้รื่นรมย์ ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือสวน Royal Botanic Gardens ซึ่งมีพื้นที่อันสวยงามถึง 38 เฮคตาร์ ทะเลสาป พืชพันธุ์ต่างๆกว่า 10,000 สายพันธุ์ และสัตว์ป่าที่น่าสนใจอีกมากมาย(มีค้างคาวด้วย!) ทั้งยังมีลู่วิ่งรอบสวนที่เรียกกันว่า The Tan ที่ซึ่งมีนักกีฬามืออาชีพและสมัครเล่นมาใช้ และในฤดูร้อนก็จะมีงาน Moonlight Cinema พร้อมกับจอหนังแบบเป่าลม ผู้มาร่วมงานจะเอาผ้าห่มกับอาหารมานั่งปิคนิคกันใต้ดวงดาวพร้อมกับชมภาพยนตร์เรื่องใหม่ไปด้วย เพลิดเพลินจริงๆ

5. อยู่ใกล้ชายหาด

เมืองใหญ่ๆทุกเมืองในออสเตรเลียตั้งอยู่ติดกับมหาสมุทร ดังนั้นถ้าคุณอาศัยอยู่ตามชานเมืองล่ะก็ คุณก็จะอยู่ห่างจากชายหาดไม่เกิน 30 นาทีไม่ว่าจะตอนไหน เมลเบิร์นตั้งอยู่ต้นอ่าว Port Phillip Bay อันเป็นเวิ้งน้ำที่ทอดตัวยาวตามสองฟากฝั่งของตัวเมืองเป็นระยะทางที่ใช้เวลาขับรถประมาณชั่วโมงครึ่ง   อีกฟากหนึ่งของคาบสมุทรทั้งสอง คุณจะพบชายหาดหินซึ่งมีนักเซิร์ฟระดับโลกมาฝึกกันที่นี่  ภาพของออสเตรเลียที่โลกได้เห็น ภาพของเจ้าหน้าที่ชายฝั่งผิวบ่มแดด สวมหมวกสีแดง-เหลือง และมีซิงค์กันแดดป้ายบนจมูกนั้น แม้จะไม่ใช่ภาพที่สะท้อนถึงชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ไกลจากความเป็นจริงเลย

4. เทศกาล

ตลอดทั้งปี แทบจะไม่มีช่วงไหนเลยที่เมลเบิร์นจะไม่จัดงานเทศกาล ที่โด่งดังมากก็มีเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมลเบิร์น (MIFF) ในเดือนกรกฎาคม  Melbourne International Comedy Festival ในเดือนมีนาคม เทนนิสออสเตรเลียนโอเพ่น เดือนมกราคม  เทศกาล Moomba (การผสมผสานแปลกๆระหว่างงานคาร์นิวัลกับสกีน้ำ) ในเดือนมีนาคม  งาน Royal Melbourne Show (ขี่ม้า ลูกกวาด สัตว์ต่างๆ) ในเดือนกันยายน  งาน Melbourne International Coffee Expo  งาน Australian International Motor Show  งาน Spring Racing Carnival (เป็นงานแข่งม้า 3 เดือน เพื่อชิงถ้วย Melbourne Cup ซึ่งทั้งรัฐจะมีวันหยุดให้ 1 วันด้วย) และวันอาทิตย์สุดท้ายของเทศกาล St. Kilda ในเดือนกุมภาพันธ์ปลายฤดูร้อน ก็อาจจะเป็นวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบปีได้อย่างสบายๆ

3. ชีวิตในยามค่ำคืน

เมลเบิร์นเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของออสเตรเลีย และชีวิตยามค่ำคืนของเมืองก็วิเศษมาก นอกเหนือจากเรื่องที่ว่าคุณเป็นชายที่ไม่ได้มากับกลุ่มหญิงสาว โอกาสที่จะได้เข้าร่วมงานรวมตัวกับใครเขาจึงมีน้อย แต่ดนตรีสดที่มีจัดขึ้นทุกคืนตลอดสัปดาห์นั้นแสนจะยอดเยี่ยม  ไหนจะบาร์บนดาดฟ้าเจ๋งๆอีกมากมายที่ผุดกันขึ้นมาตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ (ที่ร้าน Madame Brussels มีหญ้าเทียมบนเทอร์เรซด้วย) มีเบียร์การ์เด้น (ร้าน Belgian Beer garden บนถนน St.Kilda เป็นร้านเด็ดประจำฤดูร้อน) และก็มีผับดนตรีสดอย่าง The Esplanade (หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Espy) และ The Prince of Wales (เยี่ยมที่สุดในเมือง) ที่ไม่เคยว่างวายผู้คนเลย

2. รถราง

รถรางเป็นเหมือนกับรถไฟที่วิ่งบนถนน และระบบรถรางของเมลเบิร์นก็เป็นโครงข่ายรางรถรางชานเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความยาวราง 250 กิโลเมตร รถราง 487 ขบวน  30 เส้นทาง และ 1,763 สถานี (ข้อมูลในปี 2011)  มีการใช้รถรางมาตั้งแต่ปี 1884 ซึ่งถือว่ามีมายาวนานมากๆ และปัจจุบันก็เป็นวิธีเดินทางไปทั่วเมืองที่ง่ายที่สุดและสนุกที่สุด(เว้นแต่ช่วงเวลาเร่งด่วน) ทางการเองก็ได้ดำเนินการต่อขยายเส้นทางออกไปยังชานเมืองอยู่ตลอด ส่วนในตัวเมืองที่ได้รับความเอาใจใส่อยู่แล้ว คุณก็สามารถขึ้นรถรางไปถึงได้แทบทุกที่ รถรางเป็นตัวเลือกนอกจากรถไฟหรือรถบัสที่สะอาดสะอ้านกว่า รวดเร็วกว่า และมักจะปลอดภัยมากกว่า และที่สำคัญที่สุดก็คือ รถรางเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงเมลเบิร์นเลยก็ว่าได้

1.ค่าแรง

ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเงิน  ข้อเท็จจริงก็มักจะสัมพันธ์กับสภาพการณ์  เมลเบิร์นถูกจัดให้อยู่อันดับ 6 ร่วม ของอันดับเมืองที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในโลกประจำปีนี้ ค่าครองชีพก็เป็นไปตามนั้น ในวันที่ 28 สิงหาคม 2013 ค่าแรงขั้นต่ำสำหรับงานประจำในออสเตรเลียอยู่ที่ 16.37 ดอลล่าร์ ต่อชั่วโมง หรือ 622.20 ดอลล่าร์ ต่อสัปดาห์   นอกจากค่าแรงที่สูงจนเหลือเชื่อแล้ว  งานที่ไม่ประจำก็ยังได้เงินพิเศษเพิ่มถึง 24% (20.30 ดอลล่าร์ต่อสัปดาห์) แค่เพราะมันเป็นงานไม่ประจำ และจะได้เงินเพิ่มหนึ่งเท่าครึ่งสำหรับการทำงานในวันเสาร์ และสองเท่าในวันอาทิตย์ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมลเบิร์นได้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก

 

ข้อมูลและรูปภาพจาก www.therichest.com


Translated by Supriya l Secretary & Translator l Beyond Study Center
Updated by Vnuch l Online Marketing & Graphic Designer l Beyond Study Center l August 2014

Social Network


 
Advertrising