Community Zone
เรียนต่อออสเตรเลีย (เรียนภาษา)
โดย : zgamez   (23 October 2010) จำนวนผู้เข้าชม 57234 คน

เรียนภาษา หรือ เรียน ELICOS (English Language Intensive Courses for Overseas Students)


การเรียน ELICOS หรื อที่เราเรียกกันว่าเรียนภาษาก็คือการเรียนคอร์สภาษาอังกฤษสำหรับคนที่อยากพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษหรืออาจจะมีเป้าหมายในการ เรียนต่อออสเตรเลีย ในระดับอื่นๆที่สูงขึ้น เช่น ต้องสอบ IELTS ให้ได้ 6.5 หรือ ต้องการเข้ามหาวิทยาลัย โดยการเรียน Direct Entry ที่ออสเตรเลีย (เรียนภาษาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยโดยที่ไม่ต้องการสอบ IELTS หากสอบผ่านจากสถาบันที่มหาวิทยาลัยนั้นๆยอมรับ) ครับ โดยรวมก็คือคอร์สที่เป็นการพัฒนาภาษาให้กับนักเรียนโดยไม่ได้สอนเนื้อหาอย่างอื่นเป็นหลักนั่นเอง

คอร์สเรียนภาษาในออสเตรเลียมีมากมายหลายแบบตามแต่ความต้องการของผู้เรียน ในที่นี้ผมจะจำแนกคอร์สเรียนภาษาตามประเภทของคอร์สเรียนภาษาที่เค้านิยมกันนะครับ


a. General English หรือ GE


เป็นคอร์สเรียนภาษาแบบทั่วๆไป เหมาะกับคนที่ต้องการพัฒนาภาษา หรืออาจจะอยากปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการเรียนต่อออสเตรเลีย ในระดับอื่นๆ

สำหรับการเรียน General English ถือว่าเป็นคอร์สที่เครียดน้อยที่สุดและเป็นที่นิยมที่สุดในหมู่เด็กนักเรียนที่มาเรียนภาษาทั้งไทยและต่างชาติ เพราะไม่ได้มีข้อกำหนดแรกเข้าอะไร (ยกเว้นมีเงินจ่ายค่าเรียนกับมี Passport) อีกทั้งยังเรียนค่อนข้างสบาย เล่นเกมส์บ้าง เรียนแกรมมาบ้างว่ากันไป
การเรียน GE จะแบ่งนักเรียนตามระดับของภาษาของแต่ละคน แต่ละโรงเรียนจะไล่ระดับ แตกต่างกันไปประมาณ 6-7 ระดับ โดยจะเริ่มเรียนจากง่ายไปยาก อาทิเช่น
- beginner
- elementary
- pre-intermediate
- intermediate
- upper-intermediate
- advanced


การเรียน GE จะค่อนข้างจะยืดหยุ่นกว่าคอร์สเรียนแบบอื่น คือเริ่มเรียนได้ทุกวันจันทร์ และค่าเรียนจะอยู่ประมาณ 150-250 AUD ต่อสัปดาห์ ตามแต่คุณภาพของรร.ครับ
เมื่อเริ่มเรียนได้ทุกวันจันทร์ ก็จะเกิดคำถามตามมาว่า อ้าว แล้วแบบนี้จะไปเรียนทันเพื่อนเหรอคะถ้าเพื่อนเรียนไปก่อนเราตั้งสามอาทิตย์แล้ว – คำตอบคือทันครับ เมื่อเราไปเรียนภาษาแบบ GE นี้ วันแรกที่ไปถึงโรงเรียน เค้าจะจัดให้มีการสอบวัดระดับ ดูว่าเราควรจะไปอยุ่ในชั้นไหน โดยเพื่อนๆที่จะได้มาเรียนกับเราก็จะเป็นคนที่มีภาษาระดับใกล้เคียงกัน หลักสูตรของ GE ทั่วไปจะวนเป็น Loop ครับ คือไม่ได้แปลว่าเราต้องเรียนให้ครบเราถึงจบได้ แต่เรียนเพื่อให้เค้ารู้ว่าระดับเราสูงพอที่จะขึ้นไประดับถัดไปได้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเราจะเรียนกับเพื่อนที่ภาษาใกล้ๆกัน ดังนั้นไม่เสมอไปที่คนที่เข้ามาก่อนจะขึ้นไประดับถัดไปได้ก่อนเพราะแต่ละคนมีความไวในการพัฒนาไม่เท่ากัน

นอกจากนี้การเรียน GE ก็ยังเหมาะสำหรับคนที่ตั้งใจที่จะเรียนต่อในระดับวิชาชีพ ซึ่ง Australia เรียกกันว่า VET – Vocational Education and Training ( หรือ ปสช. ปวส. บ้านเรานี่เอง) ซึ่งเด็กที่นี่เรียกกันย่อๆว่าเรียน Dip ครับ (ย่อมาจาก Diploma)
โดยทั่วไปแล้ว การจะเรียน Dip ได้นั้นจะต้องผ่านข้อกำหนดสองอย่างคือ จบม.ปลาย และมีผล IELTS 5.5 หรือมีผลภาษาจากรร.ภาษาที่ออสเตรเลียในระดับที่เค้าต้องการ (โดยทั่วไปจะเทียบ Upper-intermediate อยู่ที่ 5.5 – อย่างไรก็ตาม ถ้าเราอยากทราบว่าโรงเรียนที่เราจะไปเรียน Dip นั้นเค้าต้องการผลภาษาระดับใด ก็ตามต้องตรวจสอบกับโรงเรียนนั้นๆอีกทีครับ)


b. Academic English / Direct Entry /Direct Pathway
เป็นคอร์สที่ถูกออกแบบไว้สำหรับคนที่ต้องการเรียนต่อออสเตรเลียในระดับมหาวิทยาลัย (หรือในระดับวิชาชีพก็สามารถเรียนได้)

ในที่นี้จะพูดถึงการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยครับ
ก่อนอื่นมาดูภาพกว้างๆกันก่อนครับ
ในออสเตรเลีย ถ้าเราจะเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ เราต้องผ่านข้อกำหนดที่เค้าต้องการสองด้านหลักๆคือ
1) ด้าน Academic – หมายถึงผลการเรียน เช่นเกรดปริญญาตรี 2.5 ขึ้นไป หรือบางที่อาจบอกว่าต้องมีประสบการณ์การทำงาน 2 ปี เป็นต้น
2) ด้านภาษา – ในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยในออสเตรเลียมักกำหนดให้เราต้องมีมี IELTS 6.0-7.0 แล้วแต่คอร์สที่เราจะเรียนครับ (เรียนด้าน Linguistics กะต้องการให้เรามีพื้นฐานภาษาดีกว่าเรียน Business เป็นต้น)
ในด้าน Academic นี่แล้วแต่บุญทำกรรมแต่งใครตั้งใจเรียนมาตอนเด็กๆก็เลือกมหาวิทยาลัยที่ดัง แรงค์ดีกว่าได้ แต่ถ้าไม่ตั้งใจมาก ตัวเลือกที่เลือกได้ก็จะลดลง
เพื่อให้ผ่านในส่วนของข้อกำหนดทางด้านภาษา ทุกคนก็มี 2 ตัวเลือกหลักๆครับ
อย่างแรกคือสอบ IELTS ให้ผ่านซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วและประหยัดที่สุด แต่อาจจะยากนิดถ้าพื้นฐานเราไม่ดีนัก ต้องอาศัยความพยายามากสักหน่อย (อย่างไรก็ตามผมแนะนำให้คนที่จะมาเรียนต่อไม่ว่าในระดับใด ลองสอบไว้สักครั้งจะได้รู้ระดับความสามารถภาษาอังกฤษของตนเอง อีกทั้งยังเป็นการง่ายกว่าสำหรับมหาวิทยาลัย.ที่จะบอกได้ว่าเราควรจะเรียนสักกี่สัปดาห์ถึงจะได้มีระดับภาษาตามที่มหาวิทยาลัยต้องการ)

และอย่างที่สองสำหรับคนที่อยากเตรียมพร้อมเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัยและไม่อยากสอบ IELTS หรือมีผล IELTS แล้วแต่ไม่เคยเรียนในต่างประเทศเลยอยากเตรียมพร้อมก่อน คอร์สแบบที่สองนี้เรียกกันว่า Direct Entry หรือ EAP(English for Academic Purpose) ครับ (บางที่ก็เรียก AE (Academic English))
การเรียนภาษาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยแบ่งได้อีกเป็น 2 แบบตามประเภทของโรงเรียน คือ
- เรียน EAP : การเรียน EAP คือการเรียนภาษากับสถาบันภาษาเอกชนที่ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัย ที่เราต้องการไปเรียน
ราคาค่าเรียนต่อสัปดาห์โดยทั่วไปจะสูงกว่า จะอยู่ที่ตั้งแต่ 180-300 AUD แตกต่างกันไปตามคุณภาพของรร.ภาษาที่เราไปเรียน (รร.ที่มีโปรแกรมนี้แต่ราคาถูกก็อาจจะมีข้อจำกัดว่าเข้าได้แค่มหาวิทยาลัยบางที่เท่านั้น แต่ถ้าเราเรียนพวกที่มีราคาสูงกว่า เราก็อาจจะมีตัวเลือกของมหาวิทยาลัยมากกว่าครับ)
ข้อดีของการเรียน EAP คือเข้ามหาวิทยาลัยได้ (ไม่ต่างกับการเรียนภาษากับศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัย) และค่าใช้จ่ายถูกกว่าการเรียนภาษากับมหาวิทยาลัยโดยตรง มากพอสมควรหาก ข้อเสียคืออาจจะเข้ามหาวิทยาลัย บางที่ที่ดังมากๆ ไม่ได้เพราะเค้าไม่รับ ไม่มี contract ใดๆกับรร.ภาษา เพราะต้องการให้เด็กมาเรียนภาษากับตัวมหาวิทยาลัยเองโดยตรง
การเลือกเรียน EAP เราควรจะเลือกมหาวิทยาลัยได้ก่อนที่จะเริ่มเรียน EAP เพราะจะได้เลือกรร.ภาษาที่มี contract กับมหาวิทยาลัยที่เราต้องการไปเรียนครับ (หรือถ้ายังเลือกไม่ได้ก็ควรจะเรียนกับสถาบันภาษาที่สามารถเลือกได้หลายที่กว่าหน่อย จะได้มาดูมาเห็นด้วยตัวเองด้วยว่าชอบที่ไหน)

- เรียน Direct Entry กับมหาวิทยาลัยนั้นๆโดยตรง : คอร์สเหล่านี้เป็นคอร์สที่มหาวิทยาลัยที่เราจะเรียนจัดขึ้นในสถาบันภาษาของเค้าสำหรับนักเรียนที่มีผล IELTS ไม่ถึงเกณฑ์ที่เค้ากำหนด
ข้อดีคือ เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่ดังมากๆในออสเตรเลีย( เช่น UNSW , USYD, ANU) จะไม่รับผลภาษาจากรร.ภาษาเอกชน ดังนั้นถ้าไม่มีผล IELTS หรือมีแต่ไม่ถึงเกณฑ์ที่เค้าต้องการ แล้วเราเรียนคอร์สนี้ผ่านเราก็สามารถเริ่มเรียนในมหาวิทยาลัย ที่เราต้องการได้เลย
อย่างไรก็ตามข้อเสียก็คือโปรแกรมแบบนี้แพงหูฉี่ ราคาทั่วๆไปจะอยู่ที่ราวๆ 400 AUD /wk เลยทีเดียว
นอกจากนั้นสมมติเราเรียนภาษา Direct Entry จบจากมหาวิทยาลัยที่นึงเพราะตอนแรกกะว่าจะเรียนที่นี่ ถ้าเกิดเราเปลี่ยนใจอยากเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะยอมรับผลภาษาจากที่ที่เราเรียนมา เราก็อาจต้องไปเสียเงินสอบ IELTS หรือเรียนภาษาเพิ่มเติมกันอีกทั้งๆที่เรียนมาแล้ว ดังนั้นเวลาจะเลือกขอให้เลือกดีๆกันนะครับ

ผมเชื่อว่าเรียนภาษาในมหาวิทยาลัยนั้น ต้องดีอยู่แล้ว แต่จากที่เห็นเด็กจบทั้งสองแบบมา ผมว่าก็ไม่ได้มีคุณภาพต่างอะไรกันมากมายขนาดนั้นอยู่ที่ความตั้งใจของแต่ละคนมากกว่าว่าตั้งใจขนาดไหน ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและกำลังทรัพย์ของแต่ละท่านครับ :)
**การเรียน EAP และ Direct Entry มักจะมีกำหนดเวลาเริ่มเรียนที่แน่นอน ดังนั้นการจะลงเรียนต้องวางแผนดีๆเพื่อให้ตรงกับเทอมที่เปิดให้เรียน (intake) ของมหาวิทยาลัย ที่เราจะเรียนด้วยครับ**


** การเรียนทั้งสองแบบนี้ ต้องเรียนให้ผ่านด้วยนะครับ ไม่ใช่จ่ายเงินเข้าไปเรียนแล้ว เรียนไปเรื่อยๆจะได้เข้ามหาวิทยาลัยที่เราใฝ่ฝัน ต้องพยายามกันหนักอยู่พอสมควรเพราะคอร์สพวกนี้เรียนแบบเข้มข้นและค่อนข้างซีเรียสมากครับ รายงานเยอะ การบ้านเยอะ ต้องหาข้อมูลเยอะ**

** การเรียนคอร์สเหล่านี้เนื่องจากมีความเป็น academic สูง จึงมักมี entry requirement ด้วย เช่น IELTS 4.5 เรียน Level 1 , IELTS 5.5 เรียน Level 2 และ IELTS 6.0 เรียน Level 3 เป็นต้น**


c. IELTS / Cambridge
เป็นการเรียนภาษาเตรียมความพร้อมเพื่อทำข้อสอบเฉพาะชุด ไม่ว่าจะเป็น IELTS หรือ Cambridge (หรือข้อสอบอื่นๆ เช่น TOEIC แต่ TOEIC นี่จะไม่เห็นเปิดสอนเยอะเท่าในเมืองไทย เพราะอยู่ไปเรื่อยๆก็มักจะทำได้เอง)
โดยหลักๆคอร์สเหล่านี้จะสอนทริคในการทำข้อสอบ เช่น Skimming/Scanning สำหรับ reading , โครงสร้างการเขียน Essay , วิธีการตอบใน Speaking Test และเทคนิคต่างๆว่าทำยังไงให้ทำทัน ทำยังไงให้ทำถูกเยอะสุด หรือเดาถูกเยอะสุด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเน้นเพื่อให้ทำคะแนนได้สูงๆในเวลาจำกัดโดยเฉพาะครับ
Cambridge เป็น Test อีกแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมใน Europe (แต่ไม่ได้นิยมในไทย) ดังนั้นคอร์ส Cambridge ก็จะมี
เด็ก Europe มาเรียนเยอะกว่าคอร์สอื่นๆสักหน่อย
คอร์ส Cambridge เหมาะกับคนที่ต้องการพัฒนาภาษาแบบจริงจังแต่ไม่ได้มีแผนเรียนต่อ เพราะว่าเอาไปใช้เข้าเรียนต่อไม่ได้ครับ
** เช่นเดียวกับ Course academic อื่นๆ IELTS/Cambridge มักจะมี entry requirement เช่นกันครับ คือต้องมี IELTS ตามที่รร.กำหนดครับ


d. TESOL / TECSOL
คอร์สเรียนสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ
TESOL จะเป็นคอร์สสำหรับสอนคนทั่วไป
TESCOL จะเป็นคอร์สสำหรับผุ้ที่ต้องการสอนเด็กเล็ก
คอร์สเหล่านี้นอกจากฝึกให้เรียนภาษาแบบเป็นแบบแผนแล้ว (เพราะต้องเป็นครู) แล้วยังฝึกให้กล้าแสดงออก ให้มีความมั่นใจอีกด้วย (เพราะต้องพูดหน้าห้องต่อหน้านักเรียนเยอะๆ)
คอร์สสอนภาษาเหล่านี้จะเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนเกาหลีครับ เพราะรัฐบาลเค้ามีนโยบายว่าถ้าจะไปเป็นคุณครูสอนภาษาจะต้องมีใบประกาศจากต่างประเทศ จากสถาบันที่ได้รับการรับรอง ซึ่งก็ได้ผลพอสมควรเพราะครูที่กลับไปสอนมีคุณภาพมากขึ้น ลูกเล็กเด็กแดงก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีกันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เฮ้อ พูดแล้วอยากให้เรารัฐบาลเราเอาจริงเอาจังเรื่องการศึกษาของเด็กๆบ้างนะครับนี่

** เช่นเดียวกับ Course academic อื่นๆ TESOL/TECSOL มักจะมี entry requirement เช่นกันครับ คือต้องมี IELTS ตามที่รร.กำหนดครับ

e.Business English, English + Work , English + Internship และอื่นๆ
คอร์สภาษาที่ปรับเข้ากับความต้องการของนักเรียนเป็นด้านๆไป เช่นบางที่ก็มีโปรแกรมเรียนภาษา + หางานให้ (งานคาเฟ่ทั่วไป ได้เรทเงินตามปกติ – แต่ก็อาจรวมค่าหางานเข้าไปด้วย) หรือ เรียนภาษาบวกฝึกงาน (unpaid internship) เมื่อเรียนจบก็จะได้ฝึกงานกับบ.ใน field ที่เราอยากฝึก โดยเราจะต้องผ่านการสัมภาษณ์เป็นจริงเป็นจังพอสมควรแล้วจึงเข้าไปทำงาน จะเหมาะกับคนที่ต้องการเอา resume ไปต่อยอดที่อื่นเท่านั้น เพราะฝึกงานแบบนี้ไม่ได้เงินได้แต่ประสบการณ์ครับ (ซึ่งหาเองค่อนข้างยาก)

การเรียนภาษายังมีอีกมากมายหลายแบบให้เลือก เช่น English + Surfing ก็ยังมี แต่แบบที่เป็นที่นิยมกันก็ประมาณนี้ครับ

บทความที่เกี่ยวข้อง
เรียนต่อออสเตรเลีย
เรียนภาษา
เรียนต่อระดับวิชาชีพ
เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย

Blog ที่เกี่ยวข้อง
IELTS Jan 2014 by Thaiwahclub
ดูทั้งหมด
Webboard ที่เกี่ยวข้อง
ดูทั้งหมด
02 No.
01 No.
โอว ตาลาย ข้อมูลเยอะดีจิง ขอบคุณฮับ
reply    report

Social Network


 
Advertrising