เรียนภาษา หรือ เรียน ELICOS (English Language Intensive Courses for Overseas Students)
การเรียน ELICOS หรื อที่เราเรียกกันว่าเรียนภาษาก็คือการเรียนคอร์สภาษาอังกฤษสำหรับคนที่อยากพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษหรืออาจจะมีเป้าหมายในการ เรียนต่อออสเตรเลีย ในระดับอื่นๆที่สูงขึ้น เช่น ต้องสอบ IELTS ให้ได้ 6.5 หรือ ต้องการเข้ามหาวิทยาลัย โดยการเรียน Direct Entry ที่ออสเตรเลีย (เรียนภาษาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยโดยที่ไม่ต้องการสอบ IELTS หากสอบผ่านจากสถาบันที่มหาวิทยาลัยนั้นๆยอมรับ) ครับ โดยรวมก็คือคอร์สที่เป็นการพัฒนาภาษาให้กับนักเรียนโดยไม่ได้สอนเนื้อหาอย่างอื่นเป็นหลักนั่นเอง
คอร์สเรียนภาษาในออสเตรเลียมีมากมายหลายแบบตามแต่ความต้องการของผู้เรียน ในที่นี้ผมจะจำแนกคอร์สเรียนภาษาตามประเภทของคอร์สเรียนภาษาที่เค้านิยมกันนะครับ
a. General English หรือ GE
เป็นคอร์สเรียนภาษาแบบทั่วๆไป เหมาะกับคนที่ต้องการพัฒนาภาษา หรืออาจจะอยากปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการเรียนต่อออสเตรเลีย ในระดับอื่นๆ
สำหรับการเรียน General English ถือว่าเป็นคอร์สที่เครียดน้อยที่สุดและเป็นที่นิยมที่สุดในหมู่เด็กนักเรียนที่มาเรียนภาษาทั้งไทยและต่างชาติ เพราะไม่ได้มีข้อกำหนดแรกเข้าอะไร (ยกเว้นมีเงินจ่ายค่าเรียนกับมี Passport) อีกทั้งยังเรียนค่อนข้างสบาย เล่นเกมส์บ้าง เรียนแกรมมาบ้างว่ากันไป
การเรียน GE จะแบ่งนักเรียนตามระดับของภาษาของแต่ละคน แต่ละโรงเรียนจะไล่ระดับ แตกต่างกันไปประมาณ 6-7 ระดับ โดยจะเริ่มเรียนจากง่ายไปยาก อาทิเช่น
- beginner
- elementary
- pre-intermediate
- intermediate
- upper-intermediate
- advanced
การเรียน GE จะค่อนข้างจะยืดหยุ่นกว่าคอร์สเรียนแบบอื่น คือเริ่มเรียนได้ทุกวันจันทร์ และค่าเรียนจะอยู่ประมาณ 150-250 AUD ต่อสัปดาห์ ตามแต่คุณภาพของรร.ครับ
เมื่อเริ่มเรียนได้ทุกวันจันทร์ ก็จะเกิดคำถามตามมาว่า อ้าว แล้วแบบนี้จะไปเรียนทันเพื่อนเหรอคะถ้าเพื่อนเรียนไปก่อนเราตั้งสามอาทิตย์แล้ว – คำตอบคือทันครับ เมื่อเราไปเรียนภาษาแบบ GE นี้ วันแรกที่ไปถึงโรงเรียน เค้าจะจัดให้มีการสอบวัดระดับ ดูว่าเราควรจะไปอยุ่ในชั้นไหน โดยเพื่อนๆที่จะได้มาเรียนกับเราก็จะเป็นคนที่มีภาษาระดับใกล้เคียงกัน หลักสูตรของ GE ทั่วไปจะวนเป็น Loop ครับ คือไม่ได้แปลว่าเราต้องเรียนให้ครบเราถึงจบได้ แต่เรียนเพื่อให้เค้ารู้ว่าระดับเราสูงพอที่จะขึ้นไประดับถัดไปได้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเราจะเรียนกับเพื่อนที่ภาษาใกล้ๆกัน ดังนั้นไม่เสมอไปที่คนที่เข้ามาก่อนจะขึ้นไประดับถัดไปได้ก่อนเพราะแต่ละคนมีความไวในการพัฒนาไม่เท่ากัน
นอกจากนี้การเรียน GE ก็ยังเหมาะสำหรับคนที่ตั้งใจที่จะเรียนต่อในระดับวิชาชีพ ซึ่ง Australia เรียกกันว่า VET – Vocational Education and Training ( หรือ ปสช. ปวส. บ้านเรานี่เอง) ซึ่งเด็กที่นี่เรียกกันย่อๆว่าเรียน Dip ครับ (ย่อมาจาก Diploma)
โดยทั่วไปแล้ว การจะเรียน Dip ได้นั้นจะต้องผ่านข้อกำหนดสองอย่างคือ จบม.ปลาย และมีผล IELTS 5.5 หรือมีผลภาษาจากรร.ภาษาที่ออสเตรเลียในระดับที่เค้าต้องการ (โดยทั่วไปจะเทียบ Upper-intermediate อยู่ที่ 5.5 – อย่างไรก็ตาม ถ้าเราอยากทราบว่าโรงเรียนที่เราจะไปเรียน Dip นั้นเค้าต้องการผลภาษาระดับใด ก็ตามต้องตรวจสอบกับโรงเรียนนั้นๆอีกทีครับ)
b. Academic English / Direct Entry /Direct Pathway
เป็นคอร์สที่ถูกออกแบบไว้สำหรับคนที่ต้องการเรียนต่อออสเตรเลียในระดับมหาวิทยาลัย (หรือในระดับวิชาชีพก็สามารถเรียนได้)
ในที่นี้จะพูดถึงการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยครับ
ก่อนอื่นมาดูภาพกว้างๆกันก่อนครับ
ในออสเตรเลีย ถ้าเราจะเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ เราต้องผ่านข้อกำหนดที่เค้าต้องการสองด้านหลักๆคือ
1) ด้าน Academic – หมายถึงผลการเรียน เช่นเกรดปริญญาตรี 2.5 ขึ้นไป หรือบางที่อาจบอกว่าต้องมีประสบการณ์การทำงาน 2 ปี เป็นต้น
2) ด้านภาษา – ในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยในออสเตรเลียมักกำหนดให้เราต้องมีมี IELTS 6.0-7.0 แล้วแต่คอร์สที่เราจะเรียนครับ (เรียนด้าน Linguistics กะต้องการให้เรามีพื้นฐานภาษาดีกว่าเรียน Business เป็นต้น)
ในด้าน Academic นี่แล้วแต่บุญทำกรรมแต่งใครตั้งใจเรียนมาตอนเด็กๆก็เลือกมหาวิทยาลัยที่ดัง แรงค์ดีกว่าได้ แต่ถ้าไม่ตั้งใจมาก ตัวเลือกที่เลือกได้ก็จะลดลง
เพื่อให้ผ่านในส่วนของข้อกำหนดทางด้านภาษา ทุกคนก็มี 2 ตัวเลือกหลักๆครับ
อย่างแรกคือสอบ IELTS ให้ผ่านซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วและประหยัดที่สุด แต่อาจจะยากนิดถ้าพื้นฐานเราไม่ดีนัก ต้องอาศัยความพยายามากสักหน่อย (อย่างไรก็ตามผมแนะนำให้คนที่จะมาเรียนต่อไม่ว่าในระดับใด ลองสอบไว้สักครั้งจะได้รู้ระดับความสามารถภาษาอังกฤษของตนเอง อีกทั้งยังเป็นการง่ายกว่าสำหรับมหาวิทยาลัย.ที่จะบอกได้ว่าเราควรจะเรียนสักกี่สัปดาห์ถึงจะได้มีระดับภาษาตามที่มหาวิทยาลัยต้องการ)
และอย่างที่สองสำหรับคนที่อยากเตรียมพร้อมเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัยและไม่อยากสอบ IELTS หรือมีผล IELTS แล้วแต่ไม่เคยเรียนในต่างประเทศเลยอยากเตรียมพร้อมก่อน คอร์สแบบที่สองนี้เรียกกันว่า Direct Entry หรือ EAP(English for Academic Purpose) ครับ (บางที่ก็เรียก AE (Academic English))
การเรียนภาษาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยแบ่งได้อีกเป็น 2 แบบตามประเภทของโรงเรียน คือ
- เรียน EAP : การเรียน EAP คือการเรียนภาษากับสถาบันภาษาเอกชนที่ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัย ที่เราต้องการไปเรียน
ราคาค่าเรียนต่อสัปดาห์โดยทั่วไปจะสูงกว่า จะอยู่ที่ตั้งแต่ 180-300 AUD แตกต่างกันไปตามคุณภาพของรร.ภาษาที่เราไปเรียน (รร.ที่มีโปรแกรมนี้แต่ราคาถูกก็อาจจะมีข้อจำกัดว่าเข้าได้แค่มหาวิทยาลัยบางที่เท่านั้น แต่ถ้าเราเรียนพวกที่มีราคาสูงกว่า เราก็อาจจะมีตัวเลือกของมหาวิทยาลัยมากกว่าครับ)
ข้อดีของการเรียน EAP คือเข้ามหาวิทยาลัยได้ (ไม่ต่างกับการเรียนภาษากับศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัย) และค่าใช้จ่ายถูกกว่าการเรียนภาษากับมหาวิทยาลัยโดยตรง มากพอสมควรหาก ข้อเสียคืออาจจะเข้ามหาวิทยาลัย บางที่ที่ดังมากๆ ไม่ได้เพราะเค้าไม่รับ ไม่มี contract ใดๆกับรร.ภาษา เพราะต้องการให้เด็กมาเรียนภาษากับตัวมหาวิทยาลัยเองโดยตรง
การเลือกเรียน EAP เราควรจะเลือกมหาวิทยาลัยได้ก่อนที่จะเริ่มเรียน EAP เพราะจะได้เลือกรร.ภาษาที่มี contract กับมหาวิทยาลัยที่เราต้องการไปเรียนครับ (หรือถ้ายังเลือกไม่ได้ก็ควรจะเรียนกับสถาบันภาษาที่สามารถเลือกได้หลายที่กว่าหน่อย จะได้มาดูมาเห็นด้วยตัวเองด้วยว่าชอบที่ไหน)
- เรียน Direct Entry กับมหาวิทยาลัยนั้นๆโดยตรง : คอร์สเหล่านี้เป็นคอร์สที่มหาวิทยาลัยที่เราจะเรียนจัดขึ้นในสถาบันภาษาของเค้าสำหรับนักเรียนที่มีผล IELTS ไม่ถึงเกณฑ์ที่เค้ากำหนด
ข้อดีคือ เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่ดังมากๆในออสเตรเลีย( เช่น UNSW , USYD, ANU) จะไม่รับผลภาษาจากรร.ภาษาเอกชน ดังนั้นถ้าไม่มีผล IELTS หรือมีแต่ไม่ถึงเกณฑ์ที่เค้าต้องการ แล้วเราเรียนคอร์สนี้ผ่านเราก็สามารถเริ่มเรียนในมหาวิทยาลัย ที่เราต้องการได้เลย
อย่างไรก็ตามข้อเสียก็คือโปรแกรมแบบนี้แพงหูฉี่ ราคาทั่วๆไปจะอยู่ที่ราวๆ 400 AUD /wk เลยทีเดียว
นอกจากนั้นสมมติเราเรียนภาษา Direct Entry จบจากมหาวิทยาลัยที่นึงเพราะตอนแรกกะว่าจะเรียนที่นี่ ถ้าเกิดเราเปลี่ยนใจอยากเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะยอมรับผลภาษาจากที่ที่เราเรียนมา เราก็อาจต้องไปเสียเงินสอบ IELTS หรือเรียนภาษาเพิ่มเติมกันอีกทั้งๆที่เรียนมาแล้ว ดังนั้นเวลาจะเลือกขอให้เลือกดีๆกันนะครับ
ผมเชื่อว่าเรียนภาษาในมหาวิทยาลัยนั้น ต้องดีอยู่แล้ว แต่จากที่เห็นเด็กจบทั้งสองแบบมา ผมว่าก็ไม่ได้มีคุณภาพต่างอะไรกันมากมายขนาดนั้นอยู่ที่ความตั้งใจของแต่ละคนมากกว่าว่าตั้งใจขนาดไหน ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและกำลังทรัพย์ของแต่ละท่านครับ :)
**การเรียน EAP และ Direct Entry มักจะมีกำหนดเวลาเริ่มเรียนที่แน่นอน ดังนั้นการจะลงเรียนต้องวางแผนดีๆเพื่อให้ตรงกับเทอมที่เปิดให้เรียน (intake) ของมหาวิทยาลัย ที่เราจะเรียนด้วยครับ**
** การเรียนทั้งสองแบบนี้ ต้องเรียนให้ผ่านด้วยนะครับ ไม่ใช่จ่ายเงินเข้าไปเรียนแล้ว เรียนไปเรื่อยๆจะได้เข้ามหาวิทยาลัยที่เราใฝ่ฝัน ต้องพยายามกันหนักอยู่พอสมควรเพราะคอร์สพวกนี้เรียนแบบเข้มข้นและค่อนข้างซีเรียสมากครับ รายงานเยอะ การบ้านเยอะ ต้องหาข้อมูลเยอะ**
** การเรียนคอร์สเหล่านี้เนื่องจากมีความเป็น academic สูง จึงมักมี entry requirement ด้วย เช่น IELTS 4.5 เรียน Level 1 , IELTS 5.5 เรียน Level 2 และ IELTS 6.0 เรียน Level 3 เป็นต้น**
c. IELTS / Cambridge
เป็นการเรียนภาษาเตรียมความพร้อมเพื่อทำข้อสอบเฉพาะชุด ไม่ว่าจะเป็น IELTS หรือ Cambridge (หรือข้อสอบอื่นๆ เช่น TOEIC แต่ TOEIC นี่จะไม่เห็นเปิดสอนเยอะเท่าในเมืองไทย เพราะอยู่ไปเรื่อยๆก็มักจะทำได้เอง)
โดยหลักๆคอร์สเหล่านี้จะสอนทริคในการทำข้อสอบ เช่น Skimming/Scanning สำหรับ reading , โครงสร้างการเขียน Essay , วิธีการตอบใน Speaking Test และเทคนิคต่างๆว่าทำยังไงให้ทำทัน ทำยังไงให้ทำถูกเยอะสุด หรือเดาถูกเยอะสุด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเน้นเพื่อให้ทำคะแนนได้สูงๆในเวลาจำกัดโดยเฉพาะครับ
Cambridge เป็น Test อีกแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมใน Europe (แต่ไม่ได้นิยมในไทย) ดังนั้นคอร์ส Cambridge ก็จะมี
เด็ก Europe มาเรียนเยอะกว่าคอร์สอื่นๆสักหน่อย
คอร์ส Cambridge เหมาะกับคนที่ต้องการพัฒนาภาษาแบบจริงจังแต่ไม่ได้มีแผนเรียนต่อ เพราะว่าเอาไปใช้เข้าเรียนต่อไม่ได้ครับ
** เช่นเดียวกับ Course academic อื่นๆ IELTS/Cambridge มักจะมี entry requirement เช่นกันครับ คือต้องมี IELTS ตามที่รร.กำหนดครับ
d. TESOL / TECSOL
คอร์สเรียนสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ
TESOL จะเป็นคอร์สสำหรับสอนคนทั่วไป
TESCOL จะเป็นคอร์สสำหรับผุ้ที่ต้องการสอนเด็กเล็ก
คอร์สเหล่านี้นอกจากฝึกให้เรียนภาษาแบบเป็นแบบแผนแล้ว (เพราะต้องเป็นครู) แล้วยังฝึกให้กล้าแสดงออก ให้มีความมั่นใจอีกด้วย (เพราะต้องพูดหน้าห้องต่อหน้านักเรียนเยอะๆ)
คอร์สสอนภาษาเหล่านี้จะเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนเกาหลีครับ เพราะรัฐบาลเค้ามีนโยบายว่าถ้าจะไปเป็นคุณครูสอนภาษาจะต้องมีใบประกาศจากต่างประเทศ จากสถาบันที่ได้รับการรับรอง ซึ่งก็ได้ผลพอสมควรเพราะครูที่กลับไปสอนมีคุณภาพมากขึ้น ลูกเล็กเด็กแดงก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีกันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เฮ้อ พูดแล้วอยากให้เรารัฐบาลเราเอาจริงเอาจังเรื่องการศึกษาของเด็กๆบ้างนะครับนี่
** เช่นเดียวกับ Course academic อื่นๆ TESOL/TECSOL มักจะมี entry requirement เช่นกันครับ คือต้องมี IELTS ตามที่รร.กำหนดครับ
e.Business English, English + Work , English + Internship และอื่นๆ
คอร์สภาษาที่ปรับเข้ากับความต้องการของนักเรียนเป็นด้านๆไป เช่นบางที่ก็มีโปรแกรมเรียนภาษา + หางานให้ (งานคาเฟ่ทั่วไป ได้เรทเงินตามปกติ – แต่ก็อาจรวมค่าหางานเข้าไปด้วย) หรือ เรียนภาษาบวกฝึกงาน (unpaid internship) เมื่อเรียนจบก็จะได้ฝึกงานกับบ.ใน field ที่เราอยากฝึก โดยเราจะต้องผ่านการสัมภาษณ์เป็นจริงเป็นจังพอสมควรแล้วจึงเข้าไปทำงาน จะเหมาะกับคนที่ต้องการเอา resume ไปต่อยอดที่อื่นเท่านั้น เพราะฝึกงานแบบนี้ไม่ได้เงินได้แต่ประสบการณ์ครับ (ซึ่งหาเองค่อนข้างยาก)
การเรียนภาษายังมีอีกมากมายหลายแบบให้เลือก เช่น English + Surfing ก็ยังมี แต่แบบที่เป็นที่นิยมกันก็ประมาณนี้ครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง
เรียนต่อออสเตรเลีย
เรียนภาษา
เรียนต่อระดับวิชาชีพ
เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย