ข่าวสาร >
2017
November
9
น้ำผึ้ง - แชร์ประสบการณ์เรียน Diploma in Software Development และการใช้ชีวิตที่นิวซีแลนด์
โดย : Adminstrator ( จำนวนผู้เข้าชม 7933 คน )




ด้วยความที่เป็นคนพูดไม่เก่งและไม่ค่อยกล้าแสดงออกมาตั้งแต่เด็กๆ การที่ต้องไปเข้าสังคมใหม่ๆ ต่างวัฒนธรรม ต่างภาษา ก็ค่อนข้างปรับตัวยากนิดหน่อยในช่วงแรก

อย่างคลาสที่เราเรียน คือ Diploma in Software Development มันก็ค่อนข้างเฉพาะทาง เรียกง่ายๆก็คือการเขียนโปรแกรมนี่แหละ

นอกจากภาษาคนที่ว่ายากแล้ว ภาษาคอมยิ่งยากกว่า สำหรับคนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานในการเขียนโปรแกรมเลยอย่างเรา
อีกอย่างคือเราไม่คุ้นชินกับระบบการเรียนของต่างประเทศเท่าไหร่ อย่างอยู่ที่ไทยก็มีอาจารย์คอยสอน มีเลคเชอร์ แต่ในคลาสที่นี่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นนักเรียนในคลาสทุกคนก็ต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ ประสบการณ์ของตัวเอง มันก็ดีตรงทุกคนมีแบคกราวด์มาค่อนข้างแตกต่างกัน ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรได้หลายๆอย่าง
ส่วนเรื่องที่หนักใจที่สุดก็หนีไม่พ้นเรื่องเรียนกับเรื่องเงินนี่แหละ เพราะเรื่องที่เรียนเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเรา คือต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมดและใช้เวลาในการศึกษาด้วยตัวเองเยอะมากๆ
แต่ก็ต้องทำงานไปด้วยเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งค่ากิน ค่าหอ ค่าเดินทาง สารพัด
ซึ่งมันเหนื่อยมากแต่จะไม่ทำก็ไม่ได้ เหมือนกลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึง เชื่อว่าหลายๆคนก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้ (หัวเราะ)


ก่อนที่จะไปนิวซีแลนด์ เราเรียนจบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรมและปริญญาโท MBA จุฬาฯ
เราทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ที่มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะมีธุรกิจส่วนตัวและมีแบรนด์โปรดักส์เป็นของตัวเอง
หลังจากจบโท เคยทำงานในตำแหน่ง AE อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาพ เลยไม่สามารถทำงานต่อได้
จึงเริ่มคิดได้ว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน อยากจะทำอะไรก็ทำเลยดีกว่า ตอนแรกตั้งใจไป Working Holiday Scheme แต่กดโควต้าไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจไปเรียนแทนแล้วกัน ด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มีแค่นั้นเลย
จึงตัดสินใจลงเรียน Diploma in Software Development Level 7 เพราะคิดว่าอาจจะนำมาต่อยอดกับงานกราฟิกได้
และหลังจากเรียนจบ ก็สามารถขอ Open Work Visa ต่อได้อีก 1 ปี ส่วนระหว่างเรียนก็สามารถทำงานไปด้วยได้ ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับเรา

 

เรื่องงาน เพราะเราถือวีซ่านักเรียนที่สามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งถ้าทียบแล้วเราก็ไม่ได้ทำงานเยอะเท่าคนอื่นๆ เอาแค่พออยู่ได้
ตอนช่วงแรกทำงานใน Food Court ทำแค่ 2 วัน ในวันที่ไม่มีเรียน ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม ทำทุกอย่างตั้งแต่ยกของ หั่นผัก ล้างจาน รับออร์เดอร์ เก็บร้าน ซึ่งมันเหนื่อยมากสำหรับเรา
ทำอยู่ประมาณ 5 เดือน ก็บังเอิญได้งานทำความสะอาด เลยออกจากที่เก่า
สรุปงานหลักๆในแต่ละสัปดาห์ก็จะมี ทำความสะอาดบาร์ตอน 6 – 8 โมงเช้า ทั้งหมด 5 วัน, ทำความสะอาดตามบ้านราวๆ 3 - 8 ชั่วโมง วันศุกร์ทำงานในครัว 4 โมงเย็นถึง 5 ทุ่ม และวันเสาร์ทำงานเสิร์ฟ 5 โมงเย็นถึง 4 ทุ่มโดยประมาณ นี่คืองานประจำ ทำแบบนี้จนจะกลับเลย ราวๆ 7-8 เดือนได้ โชคดีที่เจอเจ้านายดีด้วย เลยอยู่ได้ยาวๆไป


งานทุกงานที่ทำคือเหนื่อยหมด สำหรับเรางานในครัวเหนื่อยที่สุด อาจเพราะต้องทำติดต่อกันยาวนาน อย่างงานทำความสะอาดก็เหนื่อย แต่ระยะเวลาต่อรอบสั้นกว่า ก็เลยไม่รู้สึกหนักเท่าทำครัว
เราเลยมีแรงทำงานครัวแค่วันเดียวเท่านั้น  ซึ่งบางทีวันศุกร์จะเป็นวันที่พีคมาก เช่น ตื่นตีห้าไปทำความสะอาด แล้วไปทำความสะอาดบ้านต่อ แล้วไปทำครัวต่อ กลับบ้านเที่ยงคืนแล้วตื่นหกโมงไปทำความสะอาด วนไปค่ะ (หัวเราะ)

 

ส่วนงานเสิร์ฟหนักน้อยสุด ที่ว่าหนักน้อยนี่ไม่ได้หมายความว่าสบายนะ วันที่ยุ่งๆก็หัวหมุนเหมือนกัน
บางทีก็เจอลูกค้าเหวี่ยงวีน จิกตา หรือหัวเราะใส่ ก็เหนื่อยใจไม่แพ้กัน
ถ้าให้เลือก ตอนนั้นเราสบายใจที่จะทำงานทำความสะอาดมากกว่า เพราะไม่ชอบเจอคนเยอะๆ แค่มันไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาเท่าไหร่ แต่ก็(ทำใจยอม)รับได้ (ยิ้ม)
แต่เอาจริงๆควรทำงานเสิร์ฟนะ เพราะได้ฝึกภาษา ได้พัฒนาตนเองไปในตัวด้วย

 

เมืองที่เราเลือกเรียนคือ Auckland ถือเป็นเมืองที่คึกคักที่สุดแล้วในนิวซีแลนด์ มีคนต่างชาติเยอะมาก ทั้งเกาหลี จีน อินเดีย อากาศก็ดีมาก ซึ่งจริงอากาศก็ดีทั้งประเทศแหละ
เดินทางสะดวกสบาย มีรถไฟฟ้า รถเมล์ ตรงเวลาเป๊ะๆๆเลย
เราเลือกหอพักอยู่ใน CBD เลย (ในตัวเมือง)
ส่วนใหญ่เวลาไปเรียนก็เดินแบกคอมขึ้นเขาไป อยู่ในเมืองค่าเช่าหอแพงกว่าอยู่นอกเมืองก็จริง แต่ถ้าบวกลบค่าเดินทางก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่

 

เราได้อยู่นิวซีแลนด์รอบนี้ก็เหมือนจะเข้าใจโลกมากขึ้น ต้องปรับตัวหลายๆอย่างที่ตอนอยู่ไทยไม่เคยทำ
อย่างน้อยก็ทำให้รู้จักอดทนต่อความยากลำบากหลายๆอย่างที่ไม่คิดว่าจะทำได้ ซึ่งเวลามองย้อนกลับไปก็จะคิดได้ว่า ลำบากกว่านี้เราก็เคยผ่านมาแล้ว
ครั้งนี้เราต้องผ่านมันไปได้สิ This too, shall pass..ท่องไว้ (ยิ้ม)


จริงๆเคยไป Work and Travel ที่อเมริกาตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ด้วยช่วงวัยที่แตกต่างกัน ทำให้ความคิดหลายๆอย่างแตกต่างกันมากจริงๆ
อย่างตอนไปอเมริกายังแค่ 20 ต้นๆ ใช้ชีวิตสนุกมาก ไม่ต้องคิดอะไร มีอิสระ ทำตามใจทุกอย่าง
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ยิ่งมาตอนอายุเยอะแล้ว ก็ยิ่งมีเรื่องให้คิดกังวลหลายอย่าง
เรียกว่าได้มาใช้ชีวิตเองจริงๆก็คราวนี้ ซึ่งมันเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากๆ ไม่เสียใจเลยที่ได้ไป แต่คงเสียดายถ้าไม่ได้ทำ

แต่ก่อนเคยคิดว่าอยากย้ายไปใช้ชีวิตเมืองนอก มองว่าต่างประเทศดีกว่าอย่างงั้นอย่างงี้ ชีวิตเก๋ๆ
แต่พอไปสัมผัสจริงๆก็เริ่มเข้าใจว่า ทุกที่มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียเหมือนกัน คนก็เช่นกัน คนนิสัยดีก็มี คนจ้องเอาเปรียบก็เยอะ เหมือนๆกันไม่ว่าที่ไหน ตอนนี้ก็เลยไม่ได้ดิ้นรนอยากจะย้ายไปอยู่อื่น
คิดว่าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ขออยู่กับสิ่งที่ตัวเองรัก อยู่กับครอบครัว อยู่กับเพื่อน อยู่กับแมว เท่าที่มีความสุขก็เพียงพอแล้ว ส่วนต่างประเทศก็เอาไว้เก็บเงินแล้วไปเที่ยวรัวๆแทนดีกว่า อยากออกเดินทางไปทุกที่ในโลกเลย

 ตอนอยู่นิวซีแลนด์รวมๆก็ลำบากกว่าตอนอยู่ที่ไทยมากนะ ตรงที่ไม่สามารถทำงานกราฟิกที่ปกติทำได้นี่แหละ ไม่มีใครรับ (หัวเราะ)
ต้องทำงานใช้แรงงานซึ่งสุขภาพก็ไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ แต่ก็ต้องอดทน
อีกเรื่องก็เรื่องอาหาร เป็นคนกินยาก ชอบอาหารที่ไทยมากกว่ามากๆ อาหารที่นู่นไม่ค่อยถูกปากเลย แต่น้ำหนักขึ้นมา 7 โล เอิ่มม (หัวเราะ)

 

ตอนนี้เรากลับมาไทยแล้ว ทำงาน Freelance Graphic Designer
มีแพลนที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับน้องแมวในอนาคตอันใกล้นี้  และหลังจากได้ Road Trip เกาะใต้นิวซีแลนด์ ก็หลงรักเลย
อยากจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ออกไปสัมผัสโลกกว้างและประสบการณ์ใหม่ๆ พร้อมกับทำเพจ toGetThere


 เพื่อเก็บเรื่องราวความทรงจำดีๆระหว่างทาง :D