ด้วยระบบวีซ่านักเรียนออสเตรเลียแบบปัจจุบันที่เรียกว่า SSVF (Streamlined Student Visa Framework)
ตอนนี้ immigration risk หรือความเสี่ยงนี่มีอยู่สองแบบ
คือความเสี่ยงในส่วนของประเทศ (Country) และความเสี่ยงของสถาบันที่เราเลือกเรียน (Institution)
Country สีฟ้า Instituion สีส้ม
ซึ่งความเสี่ยงทั้งสองแบบจะแยกเป็น
Level 1 เสี่ยงน้อย
Level 2 เสี่ยงกลาง
Level 3 เสี่ยงมาก
ณ ปัจจุบัน อย่างน้อยถึงกย.ปีนี้ที่จะมีการเปลี่ยนอีกรอบ ประเทศไทยนับเป็นประเทศ Level 3 คือเสี่ยงมาก
ดังนั้นการเลือกสถาบันจะมีผลต่อความเสี่ยรวมที่พิจารณาจากทั้งความเสี่ยงของประเทศและสถาบันรวมกัน
กล่าวคือ สำหรับนักเรียนจากประเทศเลเวล 3 ถ้าเราเลือกสถาบัน
a) Level 1 เราจะถูกจัดเป็นความเสี่ยงแบบ Streamlined คือความเสี่ยงรวมเสี่ยงน้อย
b) แต่ถ้าเลือก Level 2 หรือ 3 เราจะถูกจัดเป็นความเสี่ยงรวมแบบ Regular (เสี่ยงมาก)
ถ้าเราเป็นคนเสี่ยงน้อย (Streamlined) เบื้องต้นเราจะไม่ต้องใช้ผลภาษาอังกฤษ ไม่ต้องแสดงหลักฐานการเงินย้อนหลังไปก็ได้ ทั้งนี้อิมมิเกรชั่นมีสิทธิ์เรียกหลักฐานเพิ่มเติมเสมอ
ส่วนถ้าเราเป็นคนเสี่ยงมาก (Regular) เบื้องต้นคือถ้าเราจะยื่นวีซ่านักเรียนจะต้องมีผลภาษาอังกฤษที่อิมมิเกรชั่นยอมรับ และจะต้องยื่นหลักฐานการเงินเข้าไปด้วยเท่านั้น (ไม่สามารถไม่ยื่นไปก่อน เหมือนออปชั่น streamlined ได้)
อย่างไรก็ตาม มียกเว้นให้กับคนที่ลงเรียนคอร์สภาษาอย่างเดียวที่ไม่จำเป็นต้องยื่นผลภาษาอังกฤษ (คือถ้าเรียนเฉพาะคอร์สภาษาอังกฤษ จะไม่มีผล IELTS หรือคะแนนอื่นๆก็ไม่เป็นอะไร)
สำหรับคนที่จะเรียนคอร์สภาษาอย่างเดียว ถ้ามีหลักฐานการเงินชัดเจน ก็จะเลือกสถาบันเลเวลก็ได้เลย ผลภาษาไม่ต้องมี
แต่ถ้าคนที่จะแพกเกจคอร์ส เช่น ภาษา บวกป.โท ภาษาบวกคอร์สทำอาหาร หรือจะเรียนดิปโพลมา หรือโทอย่างเดียว ก็จะต้องมีผลภาษาเท่านั้นถ้าสถาบันที่สอนคอร์สหลัก ไม่ใช่ level 1 ครับ
เลเวลเปลี่ยนทุก 6 เดือน
ทั้งเลเวลของสถาบันและเลเวลของประเทศจะถูกปรับเปลี่ยนทุก 6 เดือน
ระบบนี้เริ่มใช้มาตั้งแต่ 1 July 2016 ประเทศไทยเป็น Level 2 อยู่
จากนั้นพอมาถึงปลายเดือน March 2017 ประเทศไทยก็ตกชั้น กลายมาเป็นประเทศ Level 3
ซึ่งตรงนี้สถาบันแต่ละแห่งก็จะถูกวัดตัว immigration risk นี้เช่นกัน และถูกปรับเลเวลในช่วงเวลาเดียวกันด้วย
รอบหน้าที่จะปรับกันคือเดือนกันยายน 2017
ความเสี่ยงไม่เกี่ยวกับคุณภาพการเรียนการสอน
ความเสี่ยงหรือ level ที่เค้าพูดถึงกันนี้เรียกชื่อเต็มว่า Immigration risk คือจะดูสถิติเรื่องต่างๆว่านักเรียนจากประเทศไทย สถาบันไหน
มีความเสี่ยงทางด้าน immigration มากน้อยอย่างไร
ตรงนี้ immigration risk เลยไม่ reflect ว่าคุณภาพของสถาบันจะดีไม่ดี
TAFE หลายๆแห่งที่คุณภาพดีก็เป็น level 3 ตรงนี้อยู่ที่ระบบที่แต่ละสถาบันจัดการกันเองมากกว่าว่ามีนโยบายอย่างไร
เช่นบางแห่งเค้าก็ตัดสินใจไม่รับนักเรียนจากประเทศ Level 3 ที่อยู่นอกออสเตรเลียไปก็มี ตรงนี้ก็อาจจะทำให้ immigration risk ของเค้าดีขึ้น เพราะความเสี่ยงที่จำนวนนักเรียนที่ถูกรีเจควีซ่าจะน้อยลงเป็นต้น
ทั้งนี้ก็จะมีปัจจัยที่สถาบันควบคุมไม่ได้อีกเช่น จำนวนนักเรียนที่โดดวีซ่า overstay หรือถูกแคนเซิล CoE
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวการประเมิน immigration risk ได้ที่นี่
https://www.border.gov.au/Busi/Educ/managing-immigration-risk
ข้อแนะนำสำหรับคนที่เตรียมจะยื่นวีซ่าช่วงใกล้เลเวลเปลี่ยน
เนื่องจากเลเวลของทุกสถาบันมีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนขึ้นหรือลงได้
ถ้าเปลี่ยนแล้วไปกระทบ application เยอะๆ เช่น
นักเรียนจ่ายเงิน ได้ CoE แล้วจะไปเรียนในระดับดิปโพลมาหรือปริญญากับสถาบัน Level 1
นักเรียนไม่มี IELTS แต่จบ international program มา ทางสถาบันบอกว่าโอเค รับผลที่จบนี้มาได้
และรวมกับปัจจัยที่ว่าสถาบันเป็น level 1 ทำให้ไม่ต้องใช้ผลภาษาอังกฤษในกรณีนี้ จึงสามารถยื่นวีซ่าได้
ปรากฎว่ายืนวีซ่าไม่ทันวันที่เค้าเปลี่ยนเลเวล และสถาบันตกชั้น กลายเป็น level 2
กรณีแบบนี้นักเรียนก็ต้องไปสอบ IELTS ให้เรียบร้อยก่อนยืนวีซ่าด้วยครับ เรียกว่าตกจาก streamlined มาเป็น regular
ข่าวดีก็คือประเทศไทยอยู่เลเวล 3 ไม่ตกไปกว่านี้แล้ว จะอยู่ที่เดิม หรือขยับขึ้นเท่านั้น ดังนั้นสำหรับคนที่เตรียมตัวยื่นวีซ่าช่วงนี้และมีหลักฐานครบถ้วนชัดเจนแล้ว
แนะนำให้รีบยื่นไปเลยจะดีที่สุดก่อนจะเปลี่ยนเลเวลกันครับ ทั้งนี้สำหรับคนที่เป็นความเสี่ยงแบบ regular (เสี่ยงมาก)อยู่แล้วก็อาจจะไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าหลักฐานครบถ้วนรีบจัดการให้เสร็จก่อนเปลี่ยนเลเวลได้ก็จะยิ่งดีครับ