IMAGE : freepik.com
หากใครจะไป WAH อาจต้องเจอกับการสัมภาษณ์งานแน่นอน โดยเฉพาะถ้าอยากทำงานประเภทออฟฟิศ งานที่ต้องการทักษะเฉพาะ หรืองานในร้านค้า Retail จะต้องเจอกับการสัมภาษณ์งาน
‘Dandan Zhu’ เจ้าหน้าที่สรรหาบุคลากรในบริษัทแห่งหนึ่ง ได้พูดคุยกับผู้จัดการด้านการจ้างงาน ถึงสิ่งที่พวกเขาไม่อยากได้ยินจากคนที่มาสัมภาษณ์งาน ซึ่งในบทความนี้ได้รวบรวม 5 สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์งานควรหลีกเลี่ยง ไม่ว่าคุณจะสมัครงานตำแหน่งอะไร หรือกับบริษัทประเภทไหนก็ตาม
Dandan Zhu เจ้าหน้าที่สรรหาบุคลากรและ career coach / IMAGE : news.com.au
1. ความสำคัญของ ‘work-life balance’
จริงอยู่ที่ work-life balance เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตการทำงาน นั่นคือเราควรแบ่งเวลาการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้เป็น แต่สำหรับบริษัทที่จ้างงานและลูกค้าไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ
ถ้างานที่ทำอยู่เป็นงานบริการทั่วไปหรืองานที่ตำแหน่งไม่ได้สูงนัก โดยเฉพาะงานที่ไม่ได้คาดหวังการร่วมงานจากพนักงานในระยะยาว หรืองานที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายกับผลงานไว้สูง การจัดการกับ work-life balance อาจจะไม่ได้ยากเท่าไหร่
สำหรับงานธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการวุฒิการศึกษาสูงมาก งานที่สามารถหาพนักงานได้ง่าย ไม่ว่าใครก็ทำได้ และหน้าที่ที่ต้องทำก็ไม่ได้มีความซับซ้อนนัก ผู้ว่าจ้างอาจจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ลูกจ้างจะทำในเวลาว่างสักเท่าไหร่
แต่สำหรับงานที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
งานที่มีลักษณะดังกล่าวนี้มักจะเป็นงานหรือโปรเจ็กต์ที่สำคัญ และต้องทำให้ทันกำหนดเดดไลน์ที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน
ถ้าพนักงานแสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์งานว่าต้องการงานที่สามารถจัดการกับ work-life balance หรือต้องการเวลาส่วนตัวในระดับหนึ่ง นายจ้างอาจจะตั้งข้อสังเกตแล้วว่าพนักงานคนดังกล่าวอาจจะไม่สามารถทุ่มเทเวลางานให้กับบริษัทได้ หรือไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่จะเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อทำให้งานเสร็จทันเดดไลน์
ซึ่ง Dandan Zhu เองก็บอกว่า เธอพยายามจะหลีกเลี่ยงการรับพนักงานที่สนใจเวลาส่วนตัวมากกว่าการทำกำไรให้กับบริษัท
ข้อนี้ก็เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล บริษัทที่จ้างงานอาจจะอยากให้พนักงานทุกคนทุ่มเวลาของตัวเองให้กับบริษัทอย่างเต็มที่ แต่ชีวิตจริงเราก็ควรจะให้เวลากับตัวเองด้วย การทุ่มเทกับงานมากเกินก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป
2. เป้าหมายในอนาคตที่ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งงานเลย
คำถามยอดฮิตที่นายจ้างมักจะถามตอนสัมภาษณ์งานคือ ‘คุณวาดภาพตัวคุณเองในอนาคตไว้อย่างไร’
สิ่งที่จะทำให้นายจ้างเมินผู้สมัครงานคนนั้นไปเลย คือการตอบคำถามเกี่ยวกับเป้าหมายในระยะยาวที่ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร อย่าละเลยงานที่คุณสมัครไว้โดยการพูดว่าคุณอยากลองทำสิ่งอื่นมากกว่า
ยกตัวอย่างผู้สมัครสองคน คนแรกตอบว่าในอนาคตอยากลองเรียนรู้ หรือย้ายไปทำงานอื่นแทนที่จะพัฒนางานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน กับอีกคนตอบว่าอยากจะพัฒนาและเติบโต หรือสามารถเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าในตำแหน่งงานที่สัมภาษณ์ไว้ได้
แค่นี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่านายจ้างจะเลือกรับผู้สมัครคนไหน
3. อย่าพูดว่า “ไม่” บ่อยเกินไป
บางครั้งนายจ้างมักจะถามถึงทักษะหรือความสามารถในการทำงานบางอย่างที่ผู้สมัครอาจจะทำไม่ได้ ซึ่งในส่วนนี้ต้องตั้ง mindset ของตัวเองไว้ก่อนเลยว่าคำตอบของเราคือ “ใช้”
แม้ว่าคุณอาจจะไม่รู้วิธีการทำบางสิ่งบางอย่างที่นายจ้างถามถึง หรือไม่ได้สนใจในสิ่งนั้นมาก่อน สิ่งที่นายจ้างต้องการคือความพยายามที่จะเรียนรู้หรือทำสิ่งนั้น มากกว่าการปิดกั้นความสามารถของตัวเอง ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงทัศนคติของคุณได้
จะแตกต่างกันในกรณีที่ถ้าคุณไม่สามารถทำสิ่งที่นายจ้างขอได้จริงๆ ห้ามพูดว่าทำได้หรือเคยทำมาก่อนทั้งๆ ที่คุณทำไม่เป็น เพราะนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่กลับมาทำร้ายคุณทีหลังถ้านายจ้างรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณทำสิ่งนั้นไม่ได้เลยเหมือนที่เคยสัมภาษณ์ แต่ตอบเพียงเพื่อจะได้รับการจ้างงาน
การตอบคำถามสัมภาษณ์ที่ดีควรจะอธิบายถึงความพยายามของผู้สมัครว่าจะเรียนรู้ หรือปรับใช้ความรู้ที่คุณมีกับการทำงานนั้นได้อย่างไร หรือคุณเคยทำสิ่งอื่นที่คล้ายๆกัน และสามารถปรับใช้ทักษะตรงนั้นเพื่อทำให้งานสำเร็จได้
นายจ้างมักจะเลือกผู้สมัครที่มีทัศนคติด้านบวกที่สามารถยอมรับกับความท้าทายของงาน มากกว่ากลัวที่จะล้มเหลว
4. ไม่เห็นความสำคัญของตัวเองเพราะการทำงานเป็นทีม
ทุกวันนี้บริษัทส่วนใหญ่ต้องการพนักงานที่สามารถบริหารจัดการตัวเองได้ เพราะอย่างไรก็ตามความสำเร็จของทีมย่อมมาจากความสำเร็จของการทำงานของพนักงานแต่ละคนในทีม
ผู้ที่มาสัมภาษณ์งานส่วนมากมักจะโฟกัสว่าสามารถทำอะไรเพื่อทีมได้ โดยลืมที่จะเล่าถึงความสามารถหรือความสำเร็จของตัวเอง ด้วยกลัวว่าจะเป็นการพูดถึงตัวเองมากเกินไป
บางครั้งนายจ้างต้องการได้ยินว่าคุณจะทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวคุณเอง หรือสามารถทำตามเป้าหมายของคุณได้ การถ่อมตัวมากเกินไปอาจดูเป็นการลดความสามารถของคุณลง
ในทางกลับกันการขายความสามารถของตัวคุณเองมากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน อย่างบางครั้งที่คุณอาจจะเจอกับพนักงานหรือหัวหน้าที่เห็นแก่ตัว และมักยกความดีความชอบใส่ตัวเองเสมอ
5. ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม
การใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมรวมถึงภาษาที่ดูไม่เป็นมิตร มองโลกในแง่ร้าย สร้างความเสื่อมเสียให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง รวมถึงคำพูดแสดงถึงการเหยียด
การพูดจาตลกขบขันที่เกี่ยวกับศาสนา เชื้อชาติ เพศ หรือบางหัวข้อที่กระทบต่อบุคคลบางกลุ่มย่อมไม่ดีต่อการสัมภาษณ์งาน ไม่มีนายจ้างคนไหนที่อยากได้พนักงานที่มีทัศนคติด้านลบมาร่วมงานด้วย
วิธีแก้เมื่อคุณไม่สามารถปรับทัศนคติของคุณเองได้ คือการหาบริษัทที่มีวัฒนธรรมการทำงานตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณ แต่บริษัทส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับพนักงานประเภทนี้อยู่ดี
ก่อนการสัมภาษณ์งานควรจะศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับนายจ้างหรือผู้สัมภาษณ์งาน เพื่อสามารถปรับภาษาและกลยุทธ์ในการให้สัมภาษณ์ตรงกับความคิดและทัศนคติของผู้สัมภาษณ์ได้
อ่านข้อหลีกเลี่ยง 5 ข้อนี้แล้วก็ลองเอาไปปรับใช้กับการสัมภาษณ์งานของตัวเองดู หรือเข้าไปอ่านบทสัมภาษณ์ของเด็ก WAH กับการสัมภาษณ์งานที่ออสเตรเลีย อาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่กำลังกังวลกับการสัมภาษณ์งานอยู่
บทสัมภาษณ์ของคุณเจี๊ยบ ธีรดา กับการทำงานร้าน Retail ด้วยวีซ่า WAH “แชร์ประสบการณ์การทำงานกับ Michael Kors และ H&M ด้วย Work and Holiday โดยคุณเจี๊ยบ ธิรดา” ซึ่งในการทำงานร้านค้า Retail แบรนด์ดังทั้งสองร้าน คุณเจี๊ยบก็ต้องผ่านการสัมภาษณ์งานก่อนเช่นกัน เข้าไปอ่านกันได้ว่าคุณเจี๊ยบต้องผ่านการสัมภาษณ์งานแบบไหนมาบ้าง
บทสัมภาษณ์ของอีกคนคือคุณโรส ประภาวรินทร์ กับการทำงานออฟฟิศด้วยวีซ่า WAH เช่นกัน เข้าไปอ่านประสบการณ์การไป WAH ของคุณโรสได้ที่ “แชร์ประสบการณ์ทำงานออฟฟิศด้วยด้วยวีซ่า Wah โดย คุณโรส ประภาวรินทร์”
อ่านบทสัมภาษณ์ของคนอื่นๆ ต่อได้ที่เว็บไซต์ ThaiWAHClub หรือติดตามข่าวสารทาง Facebook ThaiWAHClub.com
Source : new.com.au