ข่าวสาร >
2020
March
30
แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 3)
โดย : Adminstrator ( จำนวนผู้เข้าชม 4394 คน )

    มาถึงครึ่งทางแล้วกับการแชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย หรือ ‘Amber in October’ จาก pantip.com

    หลังจากในบทความที่แล้วคุณน้ำพลอยได้รีวิวที่เที่ยวในเมืองยอดฮิตอย่างซิดนีย์และเมลเบิร์นไป ครั้งนี้คุณน้ำพลอยจะพาออกไปเมืองอื่นๆ บ้าง โดยหนึ่งในนั้นมีรัฐที่คุณน้ำพลอยบอกว่าเป็น most favorite ด้วย จะเป็นเมืองไหน รัฐอะไร ไปอ่านกันต่อได้เล้ย

     อ่านบทความก่อนหน้า :
     1) แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 1)
     2) แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 2)

     **บทความนี้ได้รับการอนุญาตให้เผยแพร่โดยคุณน้ำพลอย**


     3. Tasmania   

     แล้วก็เดินทางมาถึงรัฐที่เราชอบที่สุดในทั้งหมด Tasmania หรือที่คนที่นี่เรียกสั้นๆ ว่า แทสซี่ นั่นเอง

     แทสซี่เป็นเกาะใต้ที่แยกจากผืนแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลีย มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง เราใช้เวลาในการเที่ยวทั่วเกาะราวๆ หนึ่งเดือน (โชคดีบอสไม่ไล่ออก ฮ่าๆๆ) ด้วยการขับรถพร้อมอุปกรณ์แคมปิ้ง และ Swag หนึ่งอัน

     ข้อดีของที่นี่คือมีจุดสวยๆ ให้แคมป์ปิ้งฟรีเยอะมาก แต่บางคืนที่อยากนอนสบายก็มีแวะ Airbnb ด้วยเช่นกัน อยากจะบอกว่าถ้ามาเที่ยวออสจะพลาดที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่ที่แทสซี่!



     เริ่มต้นสำหรับคนที่มีรถสามารถนำรถขึ้น Spirit of Tasmania จาก Melbourne มาลงที่ Davenport ได้ ใช้เวลาราวๆ ครึ่งวัน สำหรับคนที่อยากชมวิวก็มากลางวัน สำหรับคนที่ไม่อยากเสียค่าที่พักหนึ่งคืนก็เลือกกลางคืน Davenport เป็นเมืองท่าขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับซื้ออุปกรณ์แคมป์ปิ้งและตุนเสบียง


     3.1 Stanley

     เราเริ่มต้นการเดินทางด้วยการแวะมาเยี่ยมเยือนเมืองที่คนร่วมทางของเราเคยทำงานอยู่มาปีกว่า Stanley เป็นเมืองเล็กๆ ลักษณะเป็นแหลมที่ยื่นออกไปทางซ้ายบนของแผนที่ เป็นเมืองน่ารักที่เห็นได้จากทั้งผังเมือง ตัวบ้าน คาเฟ่ ร้านอาหาร ไปจนถึงผู้คน

     ที่เที่ยวหลักของเมืองก็คือ The Nut หรือภูเขาขนาดใหญ่สัญลักษณ์ของเมือง สามารถนั่งแชร์ลิฟต์ขึ้นไปชมวิวข้างบนได้ ทางอาจจะชันสักหน่อยแต่ถ้าเข่ายังดีๆ จะเลือกเดินก็ได้บรรยากาศเหมือนกัน ส่วนกิจกรรมกลางคืนก็มีไปดูน้อนเพนกวินที่หาดได้ อย่าลืมถ้าจะส่องไฟต้องเป็นไฟสีแดงเท่านั้น เพื่อปกป้องดวงตาน้องกวิ้น


     นอกจากนี้สิ่งที่เราประทับใจมากๆ อีกอย่างก็คือตอนที่อีกคนพาเราไปแวะเยี่ยมเพื่อนเขาในเมือง มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่บนเนิน เจ้าของคือคุณลุงโรเบิร์ตที่มีฟาร์มเลี้ยแกะขนาดใหญ่ ควบคู่ไปกับสวนผักผลไม้ที่ลุงปลูกเอง

    เราชอบที่ลุงเอนจอยกับการใช้ชีวิตเรียบๆ ตื่นตีห้าทำฟาร์มด้วยตัวเอง บ่ายก็มานั่งจิบกาแฟ ตอนเย็นนั่งมองพระอาทิตย์ตกจากห้องนั่งเล่นที่ฝั่งนึงเป็นกระจก กลางคืนเมื่อไฟในเมืองดับจากจุดเดียวกันก็ยังสามารถมองเห็นดาวเต็มฟ้าได้ ที่สำคัญเชอร์รี่ที่ลุงปลูกหวานกรอบจนต้องกระแซะแกว่าถ้าอยากได้ลูกสาวบุญธรรมอีกคนโทรหาได้ทุกเมื่อนะคะ

 


     3.2 The Edge of the World
    นี่ไม่ใช่จุดท่องเที่ยวสำคัญ ไม่ใช่จุดเช็คอินใดๆ แต่เป็นเหมือนเวิ้งกว้างๆ ที่เต็มไปด้วยเศษหิน เศษไม้ ซึ่งคลื่นซัดเอากลับคืนมาไว้ยังฝั่งให้ภาพที่ดูเหมือนวันสิ้นโลก ฮ่าๆๆ คนร่วมทางนางบอกว่าสมัยทำงานชอบขับรถมาที่นี่ก็เลยอยากพามาดู


    3.3 Bridestowe Lavender Estate

    ตอนที่ไปเป็นฤดูลาเวนเดอร์พอดีก็เลยไปแวะฟาร์มลาเวนเดอร์ซะหน่อย จะบอกว่าที่นี่กว้างมากก ดอกลาเวนเดอร์สีม่วงเป็นพุ่มทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แต่ที่เราตั้งใจมาที่นี่ก็เพื่อไอติม บอกเลยว่าต้องโดน


    3.4 Little Blue Lake

    ขับรถราวๆ 2 ชั่วโมงจาก Launceston มีอีกหนึ่งจุดน่าแวะที่ไม่ได้เป็นที่เที่ยวยอดฮิตอะไรแต่เราชอบมากอีกที่นั่นก็คือ แหล่งน้ำขนาดไม่ใหญ่ที่น้ำมีสีฟ้าเข้มเหมือนเอาสีน้ำลงไปผสมอย่าง Little Blue Lake

    มีป้ายอธิบายอยู่ว่าสมัยก่อนบริเวณนี้เป็นที่ทำเหมือง เมื่อแร่ธาตุจากเหมืองไปปนเปื้อนในแหล่งน้ำจึงทำให้น้ำมีสีสวยเช่นนี้ ถึงจะสวยขนาดไหนแต่ห้ามลงเล่นโดยเด็ดขาดนะ อันตรายต่อผิวหนังมาก เราเลือกจุดนี้เป็นที่แคมป์ปิ้งหนึ่งคืน ถ้าใครผ่านเส้นทางนี้แล้วหาที่พักรถก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี 


    3.5 Binalong Bay, Bay of fires

    ดินแดนชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือที่มีจุดเด่นคือหินสีแดงตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าเขียว เป็นหนึ่งในทะเลที่เราชอบมาก เหมาะแก่การนอนอาบแดดฟังเสียงคลื่น มีจุดให้เลือกแคมป์ปิ้งตลอดแนวชายฝั่งเยอะมาก

 

 


    3.6 Freycinet Peninsula

    ไล่เลาะลงมาทางชายฝั่งตะวันออกเรื่อยๆ ก็จะเป็นที่ตั้งของคาบสมุทรเก่าแก่ของแทสซี่ ซึ่งมีที่เที่ยวสำคัญคือ Freycinet National Park อันอุดมไปด้วยเส้นทางเทรคกิ้งเจ๋งๆ มากมายที่มีตั้งแต่ระดับ 5 นาที ไปจนถึงข้ามวันข้ามคืน แต่ด้วยความที่เป็นคนเข่าไม่แข็งแรงเอาแค่เบาะๆ เส้น 3 ชั่วโมงปีนขึ้น Mt.Amos ไปดู Wine Glass Bay จากมุมสูงก็พอ

    โดยว่ากันว่าเมื่อมองลงมาจากมุมด้านบนจะเห็นภาพของอ่าวนี้เป็นเหมือนแก้วไวน์ที่มีช่องแคบเป็นเหมือนก้านแก้ว สามารถเดินต่อลงไปเล่นน้ำที่ชายหาด หรือค้างคืนที่จุดแคมป์ได้


    3.7 Maria Island

    ไฮไลท์ของไฮไลท์ นี่คือจุดที่เราชอบที่สุดของแทสซี่ ชอบจนเสียดายที่ได้อยู่แค่สองวันหนึ่งคืน Maria Island เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีภูมิทัศน์สวยมากจนเหมือนภาพวาด

    การเดินทางไปที่เกาะนี้มีวิธีเดียวคือเก็บข้าวเก็บของที่ต้องใช้ไม่ว่าจะเป็นเต็นท์สำหรับค้างแรม อาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า แล้วกระโดดขึ้นเรือตรงไปที่เกาะเลย ที่เกาะนี้ไม่อนุญาตให้รถยนต์เข้า การเดินทางบนเกาะจึงมีเพียงแค่ปั่นจักรยานหรือเดิน (ความเห็นส่วนตัวแนะนำว่าเดิน เพราะเนินเยอะมาก ถ้าไม่อยากจูงจักรยานขึ้นเนินให้เป็นภาระ)


    บนเกาะแห่งนี้เคยเป็นคุกเก่าสมัยอดีต นอกจากภาพของเนินหญ้าสีเขียวตัดกับท้องฟ้าและทะเลสีสดใสแล้ว เรายังจะสามารถเห็นซากปรักหักพังของอาคารที่เหล่านักโทษถูกใช้แรงงานในการสร้างได้ทั่วทั้งเกาะ บน Maria Island เองมีเส้นทางให้เดินชมวิว และเทรคกิ้งหลากหลายเส้นทาง เพราะมีเวลาไม่มาก เราจึงไปได้แค่

    Painted Cliffs – หน้าผาที่วานิลาริมชายฝั่งที่ใช้เดินไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ต้องกะจังหวะดีๆ เพราะผาจะโผล่ส่วนที่สวยที่สุดให้เดินสำรวจได้แค่ในช่วงเวลาน้ำลง

 


     Bishop and Clerk – เส้นทางเดินเขา 12 km ที่ยาวนานที่สุดในชีวิต ไม่ใช่เพียงแค่เส้นทางที่เป็นหินชัน ต้องปีนป่ายชนิดตกไปก็เรียกประกันมาเคลมได้เลยเท่านั้น แต่ความลื่น ความร้อน ตลอดจนวิวสองข้างทางที่ไม่ได้กระตุ้นให้อยากเดิน ก็เป็นบททดสอบพลังกายพลังใจที่หินสุดๆ เช่นกัน

     จนกระทั่งปีนขึ้นไปจนถึงจุดสุดยอดเท่านั้นแหละ เมื่อร่างของเราเหยียบอยู่บนยอดหินแคบๆ บนจุดยอดของภูเขา แวดล้อมด้วยท้องฟ้า น้ำทะเล ภูเขาหินแซมด้วยใบไม้เขียวที่เหมือนโผล่ขึ้นมาจากอากาศ (ตรงนี้นึกว่าอยู่ในหนัง Avatar) ก็รู้สึกขอบคุณตัวเองมากที่ลากเข่าพังๆ ขึ้นมาถึงจุดนี้ได้

 


     Fossil Bay – จบเทรลโหดของวันไปแล้ว ระหว่างเดินกลับเราสามารถเลือกเดินผ่าน Fossil Bay เลียบแนวผาไปเรื่อยๆ จนถึง Fossils Cliffs Platform เพื่อดูฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว พร้อมหาที่นั่งปิกนิกกินข้าวเที่ยงก่อนกลับไปยังจุดพักแรมได้

     นอกจากนี้โบนัสที่เกาะนี้แถมมาให้คือเหล่าสัตว์ป่าน้อยใหญ่โดยเฉพาะ วอมแบท หนูยักษ์ (จริงๆ ไม่ใช่หนูแค่หน้าตาเหมือน ฮ่าๆๆ ) ตัวอ้วนหน้ายิ้มที่เดินว่อนทั่วเกาะ ค่อนข้างเป็นมิตรชนิดเดินเข้าไปเซลฟี่ใกล้ๆ ก็ไม่วิ่งหนี เหล่าจิงโจ้ป่า นกต่างๆ และที่แจ็กพ็อตมากคือเราเจอแทสเมเนียนเดวิล สัตว์พื้นเมืองหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ (นางตามกลิ่นไส้กรอกที่คนย่างมา ฮ่าๆๆ)

     เรียกว่าถ้ามาแทสซี่ เผื่อเวลามา Maria Island ด้วย ไม่ผิดหวังแน่นอน คอนเฟิร์ม

 



     3.8 Tasman Peninsula

     กลับขึ้นมาจาก Maria Island เราก็มุ่งหน้าลงใต้มาแวะยังจุดที่มีชื่อเสียงอีกจุดหนึ่งของแทสซี่นั่นก็คือคาบสมุทร Tasman นั่นเอง

     สถานที่ทองเที่ยวหลักๆ ของย่านนี้คือเหล่าหินต่างๆ ที่ถูกลม และน้ำทะเลกัดเซาะจนเป็นรูปทรงน่าสนใจ อยู่ไม่ไกลกันมาก สามารถขับรถไล่ดูได้เลยไม่ว่าจะเป็น Blow Hole, Tasman Arch, Devil's Kitchen, Remarkable Cave ไปจนถึง Waterfall Bay

     คลื่นลมแถวนี้น่ากลัวมาก แต่ตอนที่ไปเราเจอนักเซิร์ฟสายแอดเวนเจอร์กระโดดจากแนวหินแถวนั้นว่ายออกทะเลไปเล่นเซิร์ฟ ยืนปรบมือพร้อมสวดมนต์ให้หนึ่งที

 



     สำหรับคนที่ชอบแนวประวัติศาสตร์ที่นี่มีจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงคือ Port Arthur Historic site ซึ่งเป็นที่คุมขังนักโทษเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของแทสซี่ แต่ด้วยความที่ไม่ใช่แนวเรา บวกกับค่าเข้าแพง และทัวร์มาลงเยอะเลยข้ามไป

     นอกจากนี้ถ้าดูตามแมปแล้วจะเห็นว่ามีคอคอดกระเล็กๆ ที่เรียกว่า Eaglehawk Neck อยู่ ตรงนี้มีร้านกาแฟที่เราชอบมากๆ ร้านนึงชื่อว่า Cubed espresso bar เป็นรถทรัคเสิร์ฟกาแฟ ครัวซองค์ และขนมอบโฮมเมดต่างๆ มีที่นั่งเอาท์ดอร์ให้นั่งชมวิว ที่ชอบมากๆ คือมีกล้องส่องทางไกลให้ดูวิวได้ด้วย

 

 



     3.9 Hobart

     มาถึงเมืองหลักเมืองดังที่สุดของแทสซี่ แต่จะบอกว่าเราใช้เวลากับที่นี่น้อยมากด้วยความที่ไม่ได้ชอบเที่ยวในเมืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

     Hobart มีจุดเด่นคือเป็นเมืองท่าที่มีสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนแนววินเทจสวยๆ เยอะ มีมิวเซียม สวนพฤกษศาสตร์ และภูเขาอันโด่งดังคือ Mt. Wellington ถ้าจะถามว่าเราประทับใจอะไรที่สุด เราประทับใจบ้าน Airbnb ที่เลือกพัก ฮ่าๆๆ

     ชื่อว่า Howrah Flat โฮสต์โดยคุณป้าแมรี่ เป็นบ้านโดย Airbnb ที่เราชอบที่สุดท็อปทรีทั้งหมดที่เคยพักมาในชีวิต ป้ายกบ้านหลังเล็กๆ ให้เลยหนึ่งหลัง มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ตกแต่งแนวโคซี่ มีกระทั่งกล้องดูดาวให้ใช้ แต่ที่รักที่สุดคือป้ามีสวนเล็กๆ ปลูกดอกไม้ ปลูกผักผลไม้ที่ป้าบอกว่าเด็ดกินได้เลยจ้ะ แถมป้ายังเอาไปแปรรูปเป็นแยม น้ำผลไม้ต่างๆ แช่ในตู้แช่บ้านพักให้หยิบกินได้เต็มที่ คิดว่าแก่ตัวไปอยากมีบ้านแบบป้าแมรี่นี่แหละ



     ส่วนอันนี้เป็นนุ้งม้าในบ้านของหนึ่งในเพื่อนที่ไปเยี่ยม การจะเลี้ยงม้าไว้แข่งได้นี่ต้องรวยประมาณนึงเลย เพราะค่าขนส่งม้าข้ามเรือ ค่าประกัน รวมเบ็ดเสร็จนี่ซื้อบ้านได้เป็นหลังแล้ว

 


     3.10 Bruny Island

     ข้ามมาอีกหนึ่งเกาะที่ดังมากๆ ในแทสซี่เช่นกัน เป็นเกาะที่สามารถนำรถขึ้นเรือข้ามฟากไปได้เพราะเกาะค่อนข้างใหญ่ ทว่าแม้จะกินอาณาเขตกว้างกว่าเกาะอื่นๆ แต่เราว่า Bruny Island มีจุดชมวิวสวยๆ ไม่เยอะขนาดนั้น

     ที่ดังที่สุดก็น่าจะเป็น The Neck ที่เป็นทางเดินไม้สำหรับดูพระอาทิตย์ตก และเพนกวิน (กวิ้นอีกแล้ววว ปีนึงดูไปสามรอบแล้วนะ ฮ่าๆๆ) แต่สิ่งที่เราชอบที่สุดก็คือที่เกาะนี้มีอาหารอร่อยๆ ให้ได้แวะเยอะมาก ทั้งชิมไวน์ บรั่นดี นมเนยชีส อาหารทะเลสดๆ ที่เราว่าควรแวะก็มี

 



     Get Shucked – ร้านหอยนางรมสดๆ ตัวใหญ่เบิ้ม ที่มีให้เลือกหลายรูปแบบทั้งกินสดๆ กับเลมอน (เราว่าอันนี้ดีที่สุด ได้รสของหอยนางรมจริงๆ), Kilpatrick, Panko Crumbed หรือกินกับเดรสซิ่งต่างๆ

 



     Bruny Island Cheese Co. & Bruny Island Beer Co. – สำหรับสายคราฟต์เบียร์และชีสโฮมเมด ลองสั่งเซ็ตที่เป็นเทสติ้งมาจะได้ลองหลายๆ อย่าง อ้อ แซลมอนที่นี่อร่อยมวาก

 



     3.11 Mt.Field National Park

     อีกหนึ่งอุทยานแห่งชาติที่มีเส้นทางเดินป่าดูน้ำตกสวยๆ ให้เลือกหลายเส้นทาง ตอนนั้นเลือกไม่ได้เพราะเพื่อนร่วมทางชอบน้ำตกเป็นการส่วนตัว เลยไปทัวร์หมดทุกน้ำตก สบายใจ แต่ไม่ต้องกลัวไปเพราะเดินง่ายและไม่ได้ไกลขนาดนั้น

     นอกจากนี้ยังมีเส้นทางที่พาเราไปเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติผ่านต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลกอย่าง Tall Trees Walk ที่ใช้เวลาสั้นๆ ยี่สิบนาทีก็จบแล้ว สำหรับเราถ้าคนที่ไม่ได้ว้าวกับน้ำตกอาจจะรู้สึกเฉยๆ กับที่นี่


     3.12 Cradle Mountain - Lake St Clair National Park

     อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ต้องปักหมุดของทริปแบบกาดอกจันสามสิบแปดดอก สำหรับภูเขาที่ขึ้นชื่อว่ามีวิวสวยอันดับต้นๆ ของแทสซี่ เต็มไปด้วยเส้นทางเดินเขาหลักชั่วโมงไปจนถึงหลักสัปดาห์ ซึ่งใจป๊อดแบบเราเอาขำๆ สามสี่ชั่วโมงพอ กับเส้นทางที่พาเราไปหยุดดูทะเลสาบ Dove กับภาพมุมฮิตของ Boat house ที่ข้างหน้าเป็นน้ำ ข้างหลังเป็นภูเขา (ทำไมฟังเหมือนฮวงซุ้ย ฮ่าๆๆ)

     ก่อนจะไต่สูงบนสันเขาสุดชันขึ้นไปยังจุดชมวิวมุมท็อป โดยตลอดเส้นทางก็จะมีวิวสวยๆ มีดอกไม้ป่าที่ขึ้นแซมผาหินให้เราได้ชมเป็นกำลังใจ อยากจะบอกว่าเป็นเทรลที่ดีที่สุดเส้นนึงของทริปเลย



     เมื่อไปถึงจุดสูงสุดแล้วเราก็จะเลือกได้ว่าไปต่อ (คืออีกหลักหลายชั่วโมงไปถึงหลายวันสู่ Lake St Clair) หรือพอแค่นี้ ซึ่งเราเลือกข้อหลัง ข้อเข่าพังแล้วจย้า เดินวนลงไปอีกทาง ซึ่งเส้นทางนี้เราก็จะมองเห็น Lake St Clair จากมุมสูง (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ผ่านวิวทิวเขาที่สวยแบบ มองทางไหนก็สวยเอ้า ผ่านสะพานไม้ที่ทอดผ่านทุ่งอะไรซักอย่าง ซึ่งมีตัววอมแบทวิ่งเล่นเหมือนเป็นสวนหลังบ้านกลับมายังจุดเดิม

     หลังจากนั้นเราก็เลือกจะไปพักยังจุดแคมป์ปิ้งของทางอุทยาน ซึ่งตรงนี้ก็ยังอุตส่าห์มีเทรลเล็กๆ ให้เราได้เดินสำรวจธรรมชาติ แอบกระซิบว่าลองไปเดินช่วงฟ้ามืด ถ้าโชคดีก็จะเจอเซอร์ไพรส์

     จากตรงนั้นไม่ไกลเราสามารถขับรถไปยังจุดเริ่มต้นเดินชม Lake St Clair ได้ ซึ่งเราเลือก Platypus Bay Trail ซึ่งเป็นทางสั้นๆ แค่ 5 km เพื่อไปดูเจ้าตุ่นปากเป็ด แต่ทายซิใครเอ่ยไม่มีดวง น้อนตุ่นไม่โผล่ให้เห็นเลยจย้า แงงง เพราะงั้นเลือกเทรลอื่นกันนะทุกคน


     3.13 The Ship That Never Was

     สมัยอยู่มหา’ลัย เคยทำแต่ละครเวที และเคยดูแต่ละครเวทีระดับนักศึกษาด้วยกันเท่านั้น นี่เลยเป็นครั้งแรกที่ได้ดูมืออาชีพแสดงละครสดๆ ต่อหน้าจริงๆ

     The Ship That Never Was เป็นละครเวทีที่แสดงต่อเนื่องยาวนานที่สุดของออสเตรเลียที่ยังคงเปิดการแสดงอยู่ เล่าเรื่องราวการหลบหนีออกจากเกาะของเหล่าลูกเรือและสมาชิกสุดชุลมุนทั้งหลาย แม้จะใช้นักแสดงไม่เยอะแต่บอกได้เลยว่าทุกคนมีความมืออาชีพ และเซ้นส์ด้านอารมณ์ขันสูงมาก มีการเชิญผู้ชมมาร่วมแสดงโดยเฉพาะเด็กๆ รอบที่เราไปดูพวกผู้ชมที่ร่วมแสดงตลกมาก ทำให้ละครมีสีสันขึ้นไปอีก ช่วงไฮซีซั่นควรรีบไปจองแต่เนิ่นๆ เพราะตั๋วเต็มเร็วมาก

 



     นอกจากนี้อีกหนึ่งไฮไลท์ของเกาะ Tasmania ที่พลาดไม่ได้ก็คือบรรดาผลไม้สดๆ หวานกรอบ ราคาถูก แตกต่างกันไปตามแต่ละฤดูกาล ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะเปิดสวนให้เข้าไปเด็ดสดๆ เรียกว่าจอดแวะเลือกได้ตามใจ ที่เราว่าเด็ดสุดคือเชอร์รี่ ถุงเบ้อเริ่มสิบเหรียญ กินกันจนระบบขับถ่ายทำงานคล่องเลย ฮ่าๆๆ

 


     จบไปครึ่งทางแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน ทำไมมันยาวกว่าที่คิด ยิ่งเขียนดีเทลยิ่งมา อยากจะบอกว่าออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีที่เที่ยวหลากหลายมากจริงๆ โดยเฉพาะสายรักธรรมชาติ แถมยังเที่ยวง่ายสำหรับคนที่ไม่ติดสบาย (เพราะค่าที่พักแพง ฮ่าๆๆ) เราเองก็ยังเก็บไม่หมดทุกที่ที่อยากไป ยังเหลืออีกหลายกิจกรรมที่อยากทำ ชีวิตมันสั้น อยากไปไหนรีบไปก่อนเข่าพังนะทุกโคนน



----------------------------------------------------



     ติดตามบทความตอนต่อไปของคุณน้ำพลอยได้ทาง Thaiwahclub