ข่าวสาร >
2020
April
1
แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 4)
โดย : Adminstrator ( จำนวนผู้เข้าชม 2653 คน )

     รีวิวประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย หรือ ‘Amber in October’ จาก pantip.com ที่มาต่อกันที่เมืองอื่นๆ ในออสเตรเลียบ้าง หลังจากบทความก่อนหน้าได้พาไปเที่ยวกันถึง 3 รัฐแล้ว

    เนื่องจากเนื้อหาในบทความค่อนข้างยาว เราจึงขอตัดแบ่งตอนจบออกเป็น 2 พาร์ท สามารถอ่านตอนจบอีกพาร์ทได้ที่บทความ แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 5) เลยฮะ

     อ่านบทความก่อนหน้า :

1) แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 1)

2) แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 2)

3) แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 3)

     **บทความนี้ได้รับการอนุญาตให้เผยแพร่โดยคุณน้ำพลอย**



     กลับมาแล้ว กลับมาต่อสำหรับตอนจบของเที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วย Work and Holiday Visa ฉบับทิงนองนอย เข้าป่า ตกปลา ปีนเขา คราวนี้จะไปต่อกันกับอีก 3 รัฐ และ 2 ดินแดนที่เหลืออยู่ ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก กลับไปอ่านก่อนเน้อจะได้เข้าใจรูปแบบการเที่ยวที่เราเอามาฝากมากขึ้น
 
     4. Queensland (QLD)

     มาถึงอีกหนึ่งรัฐใหญ่ที่กินพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ มีของโอท็อปขึ้นชื่อเลื่องลือก็คือแนวปะการังขนาดยาวที่สุดในโลกที่ดึงดูดนักดำน้ำให้มาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย แม้ว่าปัจจุบันจะใกล้ซี้แหงแก๋แล้วก็ตามทีอย่าง Great Barrier Reef แถมยังเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญของประเทศอีกด้วย

     เราเริ่มการไปเยี่ยมเยือนรัฐนี้ด้วยการไปทำงานที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งประมาณครึ่งปี ก่อนจะได้กลับมาอีกครั้งในช่วงกึ่งๆ ตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อ สำหรับเรา Queensland เป็นรัฐที่ไม่ได้มีที่เที่ยวหวือหวาอะไรมากนัก เหมือนคุณป้าวัยกลางคน ใจดี มีตังค์ คบไว้สบายใจ ฮ่าๆๆ


     4.1 Bowen

     ตอนแรกคิดว่าจะเขียนเรียงตามแผนที่ แต่คิดอีกทีเขียนตามลำดับที่เราไปดีกว่าจะได้เล่าเรื่องได้ต่อเนื่อง

     หลังจากที่เจ็บช้ำจากอากาศสุดแปรปรวนเหมือนมนุษย์เมนส์ใน Melbourne เราก็ตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนบินหนีมาทำงานยังเมืองเล็กๆ ติดชายฝั่งทะเลที่มีของดีประจำเมืองคือ มะม่วง (แต่ไม่ได้กินเพราะลาออกจากงานก่อนหน้ามะม่วง แป่ว) อย่าง Bowen โชคดีที่ได้งานโรงแรมก่อนที่จะมาถึง เพราะในตอนนั้นคิดว่าถ้าหางาน Hospitality ไม่ได้ก็คงต้องไปทำงานฟาร์มเพื่อเก็บวันสำหรับต่อวีซ่าปี 2
 
     หมายเหตุ – ใครที่งงว่าทำไมต้องไปทำฟาร์ม หรือทำงานที่กำหนดเพื่อต่อวีซ่า จะเล่าให้ฟังคร่าวๆ แบบนี้ละกันนะคะ ตัววีซ่า Work and Holiday นี้มีขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ให้นักท่องเที่ยววัยหนุ่มสาวสามารถเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ (ก่อให้เกิดเม็ดเงิน) ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้สามารถทำงาน ทดแทนแรงงานคนที่ขาดแคลนของประเทศได้ เป็น Win-Win Situation ของทั้งสองฝ่าย

     แต่เพื่อป้องกันการกระจุกตัวเข้ามาอยู่แต่ในเมืองยอดฮิตอย่าง Sydney หรือ Melbourne ทางการก็เลยออกกฎเพิ่มเติมว่าถ้าเราเดินทางไปทำงานที่กำหนด ในพื้นที่ที่กำหนด (ซึ่งก็แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นอาชีพที่ขาดแคลนแรงงานคน ในพื้นที่ที่ไม่ใช่เมนสตรีมเพื่อกระจายคนออกไป) ในช่วงเวลาที่กำหนดให้ ก็สามารถต่อวีซ่าปี 2 และปี 3 ได้

    ซึ่งล่าสุดอย่างที่รู้กันว่าออสเตรเลียเพิ่งเผชิญไฟป่าครั้งใหญ่ไป เกิดความเสียหายทั่วทุกภาคส่วนทั้งอาคารบ้านเรือนที่ต้องได้รับการซ่อมแซม สัตว์ป่าที่ต้องได้รับการดูแลเยียวยา จึงมีการออกกฎใหม่ให้งานช่วยเหลือหลังไฟป่าสามารถนำมานับวันยื่นต่อวีซ่าได้ เรียกว่ารัฐบาลเขาฉลาดนะคะ แฮ่ม

 


     โอเคกลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อ อย่างที่เล่าไปว่า Bowen เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ไม่ค่อยมีที่เที่ยวสำคัญสักเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่จึงใช้เป็นแค่เมืองทางผ่านแวะกินข้าวเที่ยง ยกเว้นช่วงหน้าเทศกาลสำคัญประจำปีอย่าง Super Boat ซึ่งเป็นงานแข่งเรือเร็ว ในเมืองจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวแน่นขนัดโดยเฉพาะริมชายหาด อ่อ อย่าถามนะว่าสนุกมั้ย อิหาดที่ว่านี่ก็คือหาดหน้าโรงแรมที่นุ้งทำงานอยู่นั่นแหละท่านผู้ชม วิ่งเสิร์ฟอาหาร ช่วยจัดจานสลัดหน้าเริ่ด หมดแรงไปดูเรือแล้ว

     แต่ถ้าใครอยากแวะเที่ยวเมืองนี้ จริงๆ แล้ว Bowen ก็มีหาดสวยๆ ที่เงียบสงบเหมาะแก่การไปนอนอาบแดดอยู่หลายหาดเลย ไม่ว่าจะเป็น Horseshoe Bay, Grays Bay หรือ Queens Beach น้ำที่นี่ค่อนข้างสงบเหมาะแก่การเล่น SUP (เราหัด SUP ครั้งแรกก็ที่นี่แหละ) มาก ตกเย็นก็สามารถเดินหรือขับรถขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Flagstaff Hill ได้ จะบอกว่าจากบนนี้ดาวสวยมาก

 

 


 
     สำหรับเรา Bowen เป็นเมืองที่มีความทรงจำเยอะมาก เป็นที่ที่ทำให้เรากล้าที่จะออกจากกรอบหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการใช้ภาษาอังกฤษ ด้วยความที่เมืองแทบไม่มีคนไทยเลย เพื่อนร่วมงานก็เป็นต่างชาติล้วน มาหมดทั้งสกอตติช ไอริช แคเนเดียน ไปยันออสซี่สูงวัยที่ชอบงึมงำในลำคอ ทำให้เราได้ภูมิคุ้มกันสำเนียงยากๆ มาจากที่นี่นี่แหละ ที่สำคัญยังเป็นเมืองที่เราไปเจอคนร่วมทางสำหรับทุกการเดินทางครั้งต่อๆ มา วรั้ยย

 

อันนี้พา ซูส น้องหมาของเพื่อนไปปิกนิก

ส่วนอันนี้ มูมู่ น้องสล็อตที่เลี้ยงไว้นั่นเอง


     4.2 Airlie Beach

     และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ของสายรักน้ำรักปลารักซากุระกับเมืองเล็กๆ แค่ชั่วโมงกว่าจาก Bowen ที่เราใช้เป็นฐานทัพในการออกทะเลไปชมเจ้าแนวปะการังเลื่องชื่อ Great Barrier Reef นั่นเอง

     ที่นี่มีทัวร์หลายเจ้าให้เลือกสรรมาเป็นแพ็กเกจคือ Snorkeling ชมปะการัง พร้อมอาหารหนึ่งมื้อ และสแน็คระหว่างวัน ไม่ต้องคิดเยอะ จ่ายไป คุ้ม ส่วนใครที่อยากดำน้ำลึกก็ซื้อแพ็กเกจเพิ่มบนเรือได้เลย 

 


 
     เริ่มแรกเรือจะพาเราไปรับคนเพิ่มจากเกาะ Hamilton ก่อน (ใครอยากลองมาพักผ่อนชิลล์ๆ เกาะนี้ก็ซื้อแพ็กเกจมาได้นะ แต่ได้ข่าวว่าค่าที่พักแพงมาก) จากนั้นจึงตรงไปยังจุด Outer Reef แล้วทิ้งสมอให้เราอยู่ตรงนั้นจนจุใจ

     ระหว่างนั้นใครอยากกินข้าวก็กิน ใครอยากอาบแดดก็มีเตียงผ้าใบที่ดาดฟ้าเรือ แต่เราดีดมาก ตรงดิ่งไปใส่ Wetsuit (บอกก่อนเลยว่าน้ำหนาวมาก บิกินี่เอาไม่อยู่นาจา) จับจองอุปกรณ์ลงน้ำทันที ส่วนใครที่ไม่อยากลงน้ำ (มีจริงๆ นะแบบอาเจ้ที่แต่งหน้ามาเต็มกลัวเปียก) เขาก็มีส่วนเรือท้องกระจกให้เดินลงไปดูปลาจากในเรือได้

     ด้วยความที่เคยดำน้ำตื้นทะเลใต้ที่ไทยมาบ้าง แต่มากสุดที่เคยเห็นก็ปลาการ์ตูนฝูงสองฝูง เมื่อมาเจอของจริงที่นี่บอกได้คำเดียวเลยว่า แม่เอ๊ย ตายตาหลับแล้ว ภาพของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลที่เราเคยเห็นแค่ใน Nat Geo มาอยู่ตรงหน้า

     ปลาที่ตัวใหญ่กว่าเราสามเท่าว่ายเฉียดเราไป ฝูงปลาสีเงินนับหมื่นที่พุ่งผ่านเราเหมือนเป็นหินก้อนนึง แนวปะการังที่ใหญ่เว่อร์ ใหญ่จนไม่รู้จะบรรยายยังไง ถึงแม้ว่าปะการังส่วนใหญ่จะกลายเป็นสีขาวที่หมายถึงตายไปแล้ว แต่เรายังคงเห็นถึงความยิ่งใหญ่ เห็นถึงความพยายามที่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งผ่านสีสันเล็กๆ ที่ขึ้นแซมตลอดแนว

     นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่เราคิดไว้มาก อยากบอกว่าถ้าผ่านมาทางนี้เมื่อไรให้เธอเข้ามาทักทายบ้าง เพราะมันดีมากจริงๆ ลงน้ำจนตัวเย็น มือเหี่ยวก็ยังรู้สึกไม่พอ ไม่อิ่ม อยากสำรวจต่อเรื่อยๆ อ้อ แต่ต้องระวังนิดนึงนะ อย่าเข้าไปใกล้จนเกินไป อย่าจับ หรือแลนดิ้งเท้าเราลงบนปะการังเพราะจะทำให้ระบบนิเวศเสียหาย แถมที่นั่นยังมีหอยเม่นอยู่เยอะมาก ลงสุ่มสี่สุ่มห้ามีพรุนแน่จ้า

 

 


     นอกจากกิจกรรมดำน้ำที่ควรต้องมาโดนแล้วที่ Airlie Beach ก็ยังมีอีกสองกิจกรรมน่าทำ (แต่เราเวลาไม่พอ ไว้กลับไปซ้ำ) ก็คือ skydiving กับไปพักผ่อนบนหาดทรายละเอียดที่ Whitsunday Islands แล้วจะกลับมาปาร์ตี้ที่ฝั่งแบบแบ็กแพกเกอร์สไตล์ก็จัดว่าดี


 
     4.3 Townsville

     จริงๆ แล้วเมืองนี้เป็นแค่เมืองทางผ่าน แต่เผื่อใครได้ผ่านไปเลยเขียนแนบเป็นข้อมูลไว้หน่อย อันที่จริง Townsville ก็จัดว่าเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีอะไรเหมือน Bowen เหมาะแก่การแวะพักผ่อนรอต่อรถไปเมืองอื่น

     ไฮไลท์ที่ดูจะดึงดูดผู้คนได้มากที่สุดของที่นี่คือ The Strand ทางเดินเลียบหาดความยาวราว 2 km ที่เหมาะจะมาปิกนิก วิ่งออกกำลังกาย หรือแวะหาอะไรอร่อยๆ ตามร้านอาหารที่เรียงรายตลอดแนวหาด ส่วนใครที่อยากดูปะการังแต่ไม่อยากดำน้ำ ที่นี่ก็มี Reef HQ Aquarium ซึ่งเป็นอควาเรียมของปะการังมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้ชมกัน

 



     4.4 Gold Coast

     นี่คือสวรรค์ของนักเซิร์ฟ คือบ้านของคนรักสเก็ตบอร์ด คือเมืองที่รวมเอาคนคูลๆ มาไว้ด้วยกัน เราว่าเหมือนเป็นย่านที่คนคูลโดยไม่ต้องพยายามของออสเตรเลีย ไม่รู้ว่าลำเอียงไปมั้ยแต่เราแอบชอบเมืองนี้เป็นการส่วนตัว ถึงจะได้อยู่สั้นๆ แค่เดือนเดียวแต่เราคิดว่าถ้าจะต้องลงหลักปักฐานที่ออสเราคงเลือกมาอยู่ Gold Coast นี่แหละ

 


      4.4.1 Beaches

     ด้วยความที่เป็นเมืองติดทะเล แน่นอนว่าที่เที่ยวไฮไลท์ก็ต้องเป็นทะเล จิ้มเลือกเอาเลย Burleigh Beach, Mermaid Beach, Currumbin Creek, Seventeen Seventy และอื่นๆ

     สำหรับคนที่อยากเรียนเซิร์ฟ ที่นี่มีโรงเรียนดีๆ มากมาย มีร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับกีฬาทางน้ำแทบทุกหัวมุมถนน แน่นอนมาถึงออสก็ต้องซื้อแบรนด์ของที่นี่อย่าง Ripcurl หรือ Roxy สิ! เราเองก็หัดเซิร์ฟครั้งแรกที่นี่เหมือนกันบอกเลยว่ากินน้ำจนเหนื่อย ฮ่าๆๆ

     นอกจากนี้สำหรับคนที่อยากมาเรียน เราว่า Gold Coast เป็นตัวเลือกที่ดีเลย ด้วยความที่คนส่วนใหญ่ในเมืองนี้ค่อนข้างมีฐานะ บางทีปลูกบ้านหลังใหญ่มีห้องเหลือก็เลยปล่อยให้เช่าราคาถูกๆ แก้เหงา ฮ่าๆ

     บ้านที่เราเช่าอยู่ตอนนั้นก็ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ เจ้าของบ้านเป็นคุณน้าชาวฟิลิปิโน่ที่แต่งงานกับคนออส เป็นบ้านหลังใหญ่ในย่าน Surfers Paradise ด้านหนึ่งติดน้ำ มีสะพานเทียบเรือยื่นออกไป กลางคืนไม่รู้จะทำอะไรเราเลยชอบออกไปนั่งตกปลา เอามาทำห่อหมกบ้าง ย่างบ้าง เพิ่มสกิลมาสเตอร์เชฟกันไป วันดีคืนดีก็มีน้องกระเบนว่ายมาให้ดูถึงบ้าน ทำให้เรารู้สึกว่าธรรมชาติที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก

 

 

 

 


     4.4.2 Camping

     นอกจากทะเลที่เป็นไฮไลท์หลักของเมืองแล้ว ขับรถออกมาอีกหน่อย Gold Coast ก็มีที่แคมป์ปิ้งดีๆ หลายจุดเลย เช่น Tamborine Mountain หรือ Tweed Range มีกิจกรรมแนวป่าๆ ให้ทำ หรือจะไปนั่งเล่นที่ Hinze Dam เขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ก็อากาศดีเช่นกัน ตอนแรกว่าจะมาตกปลาแต่เจอว่าที่เขื่อนนี้ตกปลาได้ แต่เอากลับไปกินไม่ได้เพราะปลามีสารปนเปื้อน เลยไม่ตกละ เปลืองแรง ฮ่าๆๆ

 

 



     4.4.3 Miami Marketta

     วันว่างๆ ตอนเย็นถ้าไม่มีอะไรทำ เราแนะนำ Miami Marketta ตลาดชิคๆ ที่เป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะ เป็นแหล่งรวมมื้อเย็นจากฟู้ดทรัคเจ๋งๆ รวมถึงเป็นบาร์ที่มีดนตรีสดผลัดเปลี่ยนกันมาแสดงไม่ซ้ำวัน ชีสเค้กอร่อยมาก บิกินี่ปริแล้วพี่จ๋า

 

 



     4.5 Cairns

     ข้าม Brisbane ไปเลยละกันเพราะแวะแค่กินข้าว มาถึงอีกเมืองยอดฮิตของชาวแบ็คแพกเกอร์ จริงๆ แล้วเรามาเมืองนี้ตอนหลังออกจาก Bowen เอ้า ข้ามไทม์ไลน์อีกแล้ว เพราะมาเยี่ยมเพื่อน และต่อเครื่องบินไป Sydney

     เท่าที่ถามหลายคนชอบเมืองนี้ แต่เรากลับไม่ชอบ ฮ่าๆๆ ส่วนตัวเราว่า Cairns เป็นเมืองที่มีทะเลแต่ไม่สวย มีร้านอาหารให้เลือกเยอะแต่ก็ไม่ได้ว้าว เหมือนก็โอเค จะให้อยู่ก็อยู่ได้นะ แต่ถ้ามีตัวเลือกที่ดีกว่าก็ย้าย ฮ่าๆๆ

     ที่เที่ยวฮิตสุดของที่นี่คงจะเป็น Palm Cove ย่านพักผ่อนที่มีต้นปาล์มเยอะ และการออกไปเที่ยวตามเกาะเล็กเกาะน้อยพร้อมดำน้ำดู Great Barrier Reef นั่นเอง และใช่ค่ะ มีอีกเราก็ไปอีก เสียเงินให้ทัวร์ไปรัวๆ

     Green Island พร้อม Snorkeling ผลที่ได้ก็คือมันมีความทัวร์ริสสปอตสูงมากค่ะคุณกิตติ คือเกาะมันก็ไม่แย่ แต่นักท่องเที่ยวแน่นมว้าก แถมตอนไปดำน้ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะจุดที่ไปดำหรือเพราะโชคร้าย ไม่เห็นอะไรเลย เรียกว่าคนละเรื่องกับตอน Airlie Beach นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรประทับใจแล้ว อ้อ ร้านชาบูหมาล่าในเมืองอร่อย กินแล้วไปต่อ

     ขอโทษด้วยไม่มีรูปสวยๆ ใน Cairns มาฝากเลย เอานุ้งพะยูนน้อยใน Green Island ไปประกอบคำบรรยายละกัน

 


     5.South Australia (SA)

     ลงใต้มาบ้างกับอีกหนึ่งรัฐสุดแห้งแล้งที่เป็นแหล่งผลิตไวน์สำคัญอันดับต้นๆ ของออสเตรเลีย เราใช้เวลากับที่นี่ไม่นานนักด้วยว่าเป็นเพียงแค่ทางผ่านขากลับจาก Uluru ไป Melbourne แต่ไหนๆ แล้วก็เล่าถึงหน่อยละกัน ฮ่าๆ

     ที่รัฐนี้มีเกาะดังที่คนนิยมไปเที่ยวชื่อว่า Kangaroo Island เกาะที่ล่าสุดโดนไฟป่าเผาจนคนต้องอพยพนั่นแหละ และไร่องุ่นต่างๆ ที่รวมเอาแพ็กเกจชิมไวน์พ่วงเข้าไปด้วย



     5.1 Adelaide

     เชื่อว่าพูดถึงรัฐนี้ เมืองเดียวที่ทุกคนรู้จักก็คือ Adelaide เอาจริงๆ แล้วเราชอบเมืองนี้นะ เงียบ สะอาด ย่าน CBD มีการจัดผังเมืองดีมาก แต่ช่วงที่ไปเป็นวันหยุดพอดี รู้สึกเหมือนเมืองร้างเลย

     ที่นึงที่เซอร์ไพรส์เราได้มากเลยของเมืองนี้คือ Botanic Garden เห้ย ที่นี่มีสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่หลายสวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Adelaide Botanic Garden, Wittunga Botanic Garden หรือ Mount Lofty Botanic Garden ใหญ่ไม่พอ การจัดการยังดีมากจนเรายกให้เป็นหนึ่งในเมือง Botanic Garden ที่ดีที่สุดที่เคยไปมาในออสเลย

     โดยแต่ละสวนมีการรวบรวม และจัดแสดงพันธุ์ไม้แต่ละโซนได้สุดตระการตาเอนปิซ่าไอเฟล เห็นรูปในโบรชัวร์มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคือที่สุด ที่ Adelaide Botanic Garden มีอุโมงค์ดอกวิสทีเรียด้วย เสียดายช่วงที่ไปไม่ใช่ฤดูกาล ใครก็ได้ไปแก้มือให้หน่อยยย

 

 

 

     5.2 Coober Pedy

     เกือบแล้ว เกือบเอาอันนี้ไปใส่ในหัวข้อ NT แล้ว ดีที่เช็คก่อนว่าจริงๆ แล้วอยู่ South Australia เล่าคร่าวๆ ว่าในหัวข้อ NT เรามีไปโร้ดทริปที่ Uluru แล้วขับลงใต้มาเรื่อยๆ โดยหนึ่งในเมืองที่ได้แวะก็คือ Coober Pedy ที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐ

       คิดว่าถ้าจะพูดให้เห็นภาพของเมืองได้ชัดที่สุด นึกถึงหนังเรื่อง Mad Max อ่ะ เมืองที่เหมือนหลุดมาจากยุคอดีต บ้านเมืองแห้งแล้งมีแต่ฝุ่นดินแดง ผู้คนแร้นแค้น มีความเวิ้งว้างทะเลทราย แถมเห็นซากรถพังถูกทิ้งข้างทางเป็นระยะๆ เรียกว่าเมื่อเทียบกับความเจริญภายในประเทศเดียวกันแล้ว Coober Pedy เป็นเมืองที่โคตรจะเซอร์เรียลเลย

       ความสำคัญของเมืองนี้ก็คือเป็นแหล่งผลิตโอปอลสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีพิพิธภัณฑ์เหมืองให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับการขุดค้นโอปอลนับจากวันที่ผู้คนจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเพื่อแสวงโชคจากอัญมณีซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนทราย  

       ไฮไลท์อีกอย่างของเมืองนี้ก็คือความเป็นเมืองใต้ดิน (Dugout) หากดูจากแผนที่จะเห็นได้ว่าเมืองนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวใจกลางทะเลทราย อุณหภูมิในหน้าร้อนสามารถพุ่งสูงได้ถึง 50 องศา พี่จ๋านี่คนหรือไก่ย่าง การใช้ธรรมชาติเป็นเกราะกำบังธรรมชาติทำให้พวกเขาสามารถลดอุณหภูมิที่ต้องเผชิญได้โดยไม่ต้องเสียทรัพยากรมากเกินจำเป็น

       โอเค ถ้าคิดว่าเมืองนี้ยังแปลกไม่พอ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแนวโบสถ์ มิวเซียม สนามกอล์ฟ หรือเหมืองแล้ว ให้ลองไปเยี่ยมบ้าน Crocodile Harry คุณลุงนักล่าจระเข้ผู้มีงานอดิเรกชอบสะสมกางเกงในสาวๆ มาแขวนไว้ที่กำแพงบ้านดู บอกได้คำเดียวว่า อิหยังวะ ฮ่าๆๆ

 

 


----------------------------------------------------


     ติดตามบทความตอนต่อไปของคุณน้ำพลอยได้ทาง Thaiwahclub