ข่าวสาร >
2020
April
3
แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 5)
โดย : Adminstrator ( จำนวนผู้เข้าชม 6890 คน )

     เดินทางมาจนถึงตอนสุดท้ายกันแล้วกับ รีวิวประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย หรือ ‘Amber in October’ จาก pantip.com โดยในบทความนี้เราจะมาต่อกันที่อีก 3 รัฐที่เหลือกัน ซึ่งรูปประกอบเยอะไม่แพ้บทความในตอนอื่นๆ แน่นอน

     อ่านบทความก่อนหน้า :
1) แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 1)
2) แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 2)
3) แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 3)
4) แชร์ประสบการณ์เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday โดยคุณน้ำพลอย (Part 4)

     **บทความนี้ได้รับการอนุญาตให้เผยแพร่โดยคุณน้ำพลอย**


      6.Western Australia (WA)
     มาถึงรัฐที่อาศัยอยู่ตอนนี้กันบ้าง เย้ สำหรับคนที่อยากเที่ยวแนวแอดเวนเจอร์ 4WD ลุยป่าลุยเขา ไม่มีคณะทัวร์เป็นคันรถมากวนใจ เป็นหนึ่งในรัฐที่อยู่นอกสายตาแต่มีทีเด็ดซ่อนอยู่เยอะมาก ถ้าไม่ได้บังเอิญมาทำงานในเมืองที่อยู่รัฐนี้ก็อาจจะไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วออสเตรเลียมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวไม่น้อยเลย

     6.1 Broome

     เริ่มกันด้วยเมืองที่ทำงานอยู่ปัจจุบัน บังเอิญย้ายมาเมืองนี้เพราะคนร่วมเดินทางได้งานใหม่ที่นี่ เราเลยตามมาทำงานที่นี่ด้วย (แอบกระซิบว่าเป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ผ่านมาทางนี้เมื่อไรให้เธอเข้ามาทักทายบ้าง แฮ่)

     Broome เป็นเมืองเล็กๆ สุดฝั่งตะวันตกค่อนไปทางเหนือ เรียกว่าแทบจะเป็นเมือง Middle of nowhere ความเจริญระดับมีแค่ McDonald กับ Subway นี่คิดว่าถ้าต้องอยู่อีกปีจะเขียนจดหมายไปอ้อนวอน KFC ให้มาเปิดแล้วนะ

     ด้วยความที่อยู่สุดฝั่งตะวันตก ไม่มีอะไรมาบังแล้ว พระอาทิตย์ตกที่นี่เลยเรียกได้ว่ายังกะภาพวาด พระอาทิตย์กลมโตสีแดงอมส้มค่อยๆ จมหายลับลงไปในน้ำทะเลย้อมสีท้องฟ้าให้เหลืองทองตัดกับความฟ้าสดของน้ำ

     โอ้โห เดินทางมาเกือบทั่วออสแล้ว ยกให้ที่นี่เป็นพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย และถึงแม้ Broome จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ความที่เราอยู่มาเกินครึ่งปีแล้ว ทำให้พอจะมีข้อมูลมาแนะนำมากหน่อย แยกย่อยเป็นหัวข้อละกัน

       6.1.1 Cable Beach

     หาดยอดนิยมที่มีซิกเนเจอร์คือขบวนอูฐรับนักท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ตก จะบอกว่าใครอยากสัมผัสประสบการณ์ก็ลองดู แต่เราว่าขับรถลงไปบนหาด งัดเก้าอี้ปิกนิกกับเบียร์อีกแพ็กมานั่งชิลล์ ประหยัด และได้มู้ดแบบโลคอลมากกว่า

     พระอาทิตย์ตกที่นี่เป็น Must see ที่ยังไงก็ห้ามพลาด ช่วงฟลุ้กๆ คลื่นลมได้ยังสามารถหอบเซิร์ฟบอร์ดมาเล่นได้ด้วย ช่วงที่เราอยู่ เรากับเพื่อนร่วมงาน (ส่วนใหญ่ก็แบ็คแพ็กเกอร์จากประเทศต่างๆ ที่มาด้วยวีซ่า WAH เหมือนกัน) ชอบขับรถมาแคมป์ไฟบาร์บีคิวกันตรงหาดนี้ (ต้องขับเลียบหาดขึ้นไปอีกหน่อยช่วงที่ไม่มีคน และไม่ใช่ฤดูกาลเต่าวางไข่ เพราะช่วงฤดูกาลหาดจะปิดไม่ให้เอารถลงหลังสองทุ่ม)

     ส่วนคนที่อยากชิลล์แบบสวยๆ ตรงนั้นก็มีร้านอาหาร มีคอกเทลบาร์อยู่หลายร้าน มีร้านนึงชื่อ Sunset Bar ร้านน่ารัก แต่จุดที่ร้านตั้งมองไม่เห็น Sunset นาจา ถ้าอยากเห็นชัดๆ ให้ไปนั่ง Zander (ร้านนี้เมนู Croc bite หรือจระเข้ชุบแป้งทอดอร่อย) นอกจากนี้เรายังใช้หาดนี้เป็นที่หัดขับรถ ชอบมาก ชอบจนบัดนี้ยังขับบนถนนไม่ได้เลย แงงง

     อันนี้พาน้องหมาที่เคย Foster ช่วงสั้นๆ มาทะเล น้องชื่อแครอท เป็นเด็กดีมาก ตอนน้องหาบ้านได้แล้ว แล้วเจ้าหน้าที่มาพาน้องไป ล้องห้ายหนักมากก

     6.1.2 Gantheaume Point

     อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ควรมา ค่อนข้างฮิตในหมู่แบ็คแพ็กเกอร์เพราะช่วงน้ำขึ้นสามารถมาโดดผาวัดใจที่นี่ได้ จริงๆ แล้วพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ โดยมีรอยเท้าไดโนเสาร์ที่จะโผล่เมื่อน้ำลด พื้นที่โดยรวมมีสภาพเป็นหน้าผาสีส้มแดงตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใส ที่วันดีคืนดีก็มีคนเห็นฉลามสามตัวมาว่ายน้ำเล่น หรือจระเข้ผลุบๆ โผล่ๆ ลอยคอ ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากสำหรับที่นี่ เราชอบช่วง High tide มาก เพราะน้ำจะขึ้นมาเติมเต็มแอ่งหินกลายเป็น Rock Pool ลงว่ายเล่นได้

     นอกจากนี้ช่วงอากาศดีๆ ตรงนี้ยังเป็นทำเลที่ดีสำหรับหิ้วขนม หิ้วเบียร์มาปิกนิกอาบแดดมาก วันดีคืนดีก็มีคนมาเปิดบีชปาร์ตี้ (คือในหมู่แบ็คแพ็กเกอร์ด้วยกันมีคนนึงเป็นดีเจ มีอุปกรณ์พร้อม ชอบไปเปิดปาร์ตี้ตามที่ต่างๆ) อาบแดด จิบเบียร์ (ที่หิ้วมาเอง) ฟังเพลง ไม่ต้องเสียเงินไปบาร์

     อ้อ เล่าถึงตรงนี้ขอเล่าถึงเพื่อนสนิทคนนึงหน่อย เป็นคนสก็อตติชชื่อคริสตี้ อย่างที่รู้กันนั่นแหละว่าสำเนียงสก็อตติชนี่เป็นของแสลงสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่มาก รักนางมากนะแต่ฟังนางไม่ค่อยรู้เรื่อง ฮ่าๆๆ วันไหนทำงานด้วยกันต้องมีเรื่องตลกตลอดเพราะสื่อสารกันไปคนละเรื่อง ช่วงนึงเคยสงสัยมากว่าแบบเพื่อนที่ทำงานรู้ได้ไงวะว่าวันไหนมีปาร์ตี้ที่ไหน เพื่อนบอก อยากรู้ไปถามคริสตี้ เพราะคริสตี้เป็น Party Animal มีปาร์ตี้ต้องมีคริสตี้ ซึ่งจริง โปรโมเตอร์ต่างๆ ต้องมาเรียนรู้งานนะคะ ฮ่าๆๆๆ 


     6.1.3 Staircase to the Moon at Town Beach

     อีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองนี่ที่มีแค่ช่วงฤดูกาลเฉพาะ ต้องคอยดูปฏิทินเช็คข่าวว่าจะเกิดขึ้นวันไหน เวลาไหน เพราะถ้ามาช้าไปครึ่งชั่วโมงก็คือพลาด เป็นภาพของดวงจันทร์กลมโตที่ค่อยๆ ไต่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงที่สะท้อนในน้ำดูเหมือนขั้นบันไดไต่สู่พระจันทร์

     มีหลายที่ที่สามารถรอดูปรากฎการณ์นี้ได้ แต่จากที่ตระเวนไปดูมาหลายรอบเราว่า McDaniels Lookout ที่ Town Beach คือจุดที่ดีที่สุด ซึ่งที่ Town Beach นี้ก็เป็นอีกจุดนึงสำหรับนอนอาบแดด หรือเริ่มต้นวันใหม่ที่คาเฟ่

      6.1.4 Coconut Well
     ช่วงอากาศดีๆ กิจกรรมประจำวันหยุดของเราและเหล่าเพื่อนๆ ก็คือการไปแคมป์ปิ้ง ขับรถออกจากตัวเมืองไม่ไกลมีจุดให้แวะปิกนิก และแคมป์ปิ้งหลายจุดมาก Coconut Well ก็เป็นหนึ่งในนั้น (จริงๆ แล้วตรงส่วนหาดแคมป์ปิ้งข้ามคืนไม่ได้ แต่เรามารู้หลังจากแคมป์ปิ้งไปหลายครั้งแล้ว เพราะไม่มีป้ายแปะบอกอะไร)
     การเข้าไปถึงส่วนหาดจำเป็นต้องใช้ 4WD เพราะทางค่อนข้างวิบาก แต่ถ้าเข้ามาได้แล้วสิ่งที่จะพบก็คือผาหินสีขาวนวลลาดลงสู่หาดทรายละเอียดตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าคราม และแอ่งหินทรงประหลาดที่จะสวยเวลาน้ำขึ้น ที่นี่เป็นจุดที่เราและเดอะแก๊งค์ Broome Betches (มีชื่อแก๊งค์ไปอีก ฮ่าๆๆ จริงๆ เป็นแก๊งเพื่อนแบ็คแพ็กเกอร์ที่ทำงานโรงแรมเดียวกัน ช่วงแรกๆ กินนอนที่เดียวกันเลยสนิทกันไปโดยปริยาย แม้ทุกวันนี้จะแยกย้ายกันไปหมดแล้วแต่ก็ยังติดต่อกันอยู่) มาแคมป์ไฟส่งท้ายก่อนแยกย้าย อ้อ เมื่อไหร่ที่ออกจากเมืองก็ตาม ลืมไปได้เลยเรื่องห้องน้ำ ปวดหนักปวดเบาเมื่อไหร่เลือกโขดหินที่ชอบเอาได้เยยย

 

 

     6.1.5 James Price Point

     ถ้าเซิร์จภาพ Broome หนึ่งในภาพฮิตที่มักปรากฎขึ้นมาก็คือภาพมุมโดรนของแนวผาสีน้ำตาลแดง แซมด้วยสีเขียวของต้นไม้ และสีน้ำทะเล นั่นคือภาพของ Jame Price Point อีกหนึ่งที่แคมป์ปิ้งที่ขับรถต่อจาก Coconut Well ไม่นาน ที่ต้องระวังก็คือจำเอาไว้ว่าถ้ารถต้อง 4WD เท่านั้น และควรมีอุปกรณ์ติดรถไว้เสมอ ขนาดใช้ 4WD รถเรายังไปตกหล่มรอบนึง โชคดีได้คุณลุงใจดีมาช่วยลากขึ้นให้

     เราชอบภูมิทัศน์ของที่นี่มาก เหมือนหลุดมาดินแดนดาวอังคารที่มองไปทางไหนก็มีแต่ผาดินแดง ไฮไลท์จริงๆ เราว่าอยู่ช่วงกลางคืน ตอนที่แสงทุกอย่างลับฟ้าไปแล้ว เป็นช่วงที่เราสามารถเห็นดาวเต็มฟ้า และทางช้างเผือกชัดมากๆ ข้อควรระวังอย่างนึงคือที่นี่แมลงวันเยอะมาก ควรมีฟลายเน็ตครอบหน้าติดมาด้วย และไม่ควรทำอาหารก่อนพระอาทิตย์ตกเพราะคุณจะโดนรุมด้วยฝูงปีศาจแมลงวันชนิดอยากพับของกลับบ้านเดี๋ยวนั้นเลย

     6.1.6 Fishing

     รู้หรือไม่ว่า Broome เป็นสถานที่ตกปลาในดวงใจของพ่อหมีซิกแพ็กคริส แฮล์มเวิร์ธ ด้วยนะ แอร๊ย อยากเป็นเหยื่อ ฮ่าๆๆ ที่นี่มีที่ตกปลาดีๆ เยอะมากไม่ว่าจะเป็น Crab Creek, Barred Creek และอื่นๆ
ช่วงแรกเราออกไปตกปลาด้วยเรือเพื่อน จนตอนหลังทนไม่ไหวซื้อเรือมาไว้ใช้ตกปลาเอง (เมืองมันไม่มีอะไรให้ทำจริงๆ น่ะคุณผู้ชม ฮ่าๆๆ) แต่สำหรับคนที่ไม่มีเรือก็สามารถซื้อทัวร์ไปตกปลากับ Charter ได้ ซึ่งรับประกันว่าได้ปลาแน่นอน (กระซิบว่าแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ประมาณคนละ 300 AUD ถ้าไม่อินก็ข้ามๆ ไปเถอะ)

     6.1.7 Shinju Matsuri

     ลืมบอกไปว่า Broome เป็นเมืองที่มีผลผลิตหลักคือไข่มุก ในทุกๆ ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะมีเทศกาลเพื่อเฉลิมฉลองกัน เรียกว่ายิ่งใหญ่อลังการ ผู้คนออกมาเฉลิมฉลองตามถนน มีออกร้าน มีเชิดสิงโต มีลอยโคมลงทะเล (กิจกรรมโคตรจะแรนดอม) เพื่อนบอกประเทศเธอก็มีเทศกาลนี้ นั่นมันลอยกระทงโว้ย ฮ่าๆๆ

     6.1.8 Sun Picture

     ถึงจะดูห่างไกลความเจริญไปนิด แต่จริงๆ แล้ว Broome มีโรงหนังนะ ไม่ใช่โรงหนังธรรมดาด้วย แต่เป็นโรงหนัง Outdoor ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกที่ยังเปิดฉาย ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1916 มีจอเดียว วันนึงอาจมีฉายแค่สองถึงสามเรื่อง สำหรับคนที่คิดว่าปีนึงต้องดูไม่ต่ำกว่าสิบเรื่องแน่ก็สามารถซื้อตั๋วเล่มได้ ตกเรื่องละ 12 AUD เท่านั้นเอง

 

     6.1.9 Secret Beach near Jetty

     สุดท้ายแวะดรอปหาดลับที่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวไม่รู้ก็คือหาดเล็กๆ ใกล้ Jetty เป็นหาดเงียบๆ แต่สวย และสงบมาก มีแค่คนพื้นที่ที่จูงหมามาเดินเล่นบ้าง มาจอดอาบแดดบ้างเท่านั้น ช่วงน้ำลงสามารถเอารถลงไปจอดบนหาดได้ มีสองฝั่งฝั่งนึงน้ำสงบ อีกฝั่งคลื่นแรงแต่เห็นพระอาทิตย์ตกเลือกเอาตามสบายใจ

     ส่วนตรง Jetty ก็เป็นอีกจุดน่าสนใจสำหรับตกปลา ใครอยากเห็นฝูงฉลามแวะมาดูตอนกลางคืนได้ จะตกไปกินก็ได้ ถึงเนื้อจะไม่ค่อยอร่อยแต่เอามาทำอาหารรสจัดๆ ก็โอเคอยู่นะ (เคยเอามาทำทาโก้ฉลาม กะแกงเขียวหวาน ฮ่าๆๆ)

 


     ถ้าไม่นับรวมอาชญากรรมจำพวกงัดรถ (เพื่อนที่ดูแลบ้านให้เพิ่งเท็กซ์มาบอกว่ารถยูโดนคนเปิดเข้ามาขโมยที่ชาร์จแบตเตอรี่ โอ้ย โดนจนได้) ขโมยมอไซค์ที่ค่อนข้างถี่ ก็นับว่า Broome เป็นเมืองน่าอยู่เมืองนึงเลยนะ อากาศดี มีบีชสวยๆ เยอะ ไม่มีปัญหาการจราจร (เมืองไม่มีแม้แต่ไฟแดงอะค่ะ) คือตื่นนอนมาขับรถไปทำงานห้านาที เลิกงานก็ไปนอนอาบแดด วันหยุดก็ไปแคมป์ปิ้งได้ แต่อาจจะเฉาสำหรับสายเมืองนิดนึงเพราะเมืองแทบจะไม่มีแสงสีอะไรให้เปิดหูเปิดตาเหมือน Sydney หรือ Melbourne เลย



       6.2 Perth

       เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาบ้าง ในฐานะเมืองที่ค่าตั๋วเครื่องบินจากไทยบินไปค่อนข้างถูก เพราะอยู่ใกล้กับไทยนั่นเอง (Broome ใกล้กว่าแต่ไม่มีบินตรงเลยต้องบินลงมา Perth แล้วบินข้าม Broome กลับมาไทยอีกที ฮ่าๆๆ)

       สำหรับเรา Perth เป็นเมืองที่โอเคเมืองนึงเลยนะ สะอาด ไม่วุ่นวาย มีเกาะดังที่คนนิยมไปกันคือ Rottnest Island (เพิ่งเห็นรูปเพื่อนที่ย้ายไปทำงานที่เกาะนี้ skydiving ที่นั่น ดีมาก สวยมาก) มีที่เที่ยวในระยะขับรถเที่ยวได้เยอะมาก แต่เราแค่แวะเยี่ยมเพื่อน และต่อเครื่องที่ Perth ไม่กี่วัน ขอเขียนถึงสั้นๆ เท่าที่ไปละกัน


       6.2.1 Fremantle

       มีเพื่อนที่ Broome หลายคนเคยอาศัยหรือเที่ยวใน Perth มาก่อน พอรู้ว่าจะมาแวะที่นี่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องไป Fremantle โอเค พูดขนาดนี้ก็ต้องไป ประจวบเหมาะกะแก๊งเพื่อนทำงานที่ Rottnest Island ซึ่งใกล้กับที่นี่พอดีก็เลยนัดไปกินข้าวกัน

       Fremantle เป็นเมืองท่าที่มีทะเลสวย มีร้านอาหารกึ่งบาร์เก๋ๆ เรียงรายตลอดแนว ร้านที่เราไปกินชื่อว่า Bathers Beach House ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในร้านยอดฮิตเพราะคนแน่นใช้ได้ มีทั้งโซนด้านใน ด้านนอก ไปจนถึงเตียงผ้าใบอาบแดด แน่นอนว่าอากาศดีแบบนี้ต้องโซนเอาท์ดอร์เท่านั้น

       นอกจากนี้ Fremantle ยังโดดเด่นด้านอาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมเก่าแก่ มีตลาดเกร๋ๆ อย่าง Fremantle Markets ที่ขายของกระจุ๊กกระจิ๊ก เสื้อผ้า เครื่องประดับ ไปจนถึงอาหาร สำหรับคนที่ชอบลองเนื้อแปลกๆ ลองเดินลึกเข้าไปในโซนร้านอาหารจะมีร้านนึงเป็นคุณลุงหน้าบอกบุญไม่รับที่ขาย Homemade Jerky หรืออารมณ์เนื้อแห้งบ้านเรา ตั้งแต่เนื้อวัว จิงโจ้ จระเข้ แน่นอนว่าสุกแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะแพร่เชื้อเหมือนค้างคาว ฮ่าๆๆ ซึ่งเราก็อุดหนุนเนื้ออีมูมาขีดนึง ใช่ ขีดนึง ลุงขายโลละสี่พันอ้ะ สู้ราคาไม่ไหว


     6.2.2 Swan River

     สำหรับคนที่มีเวลาว่างเหลือๆ อยากให้ลองมาเดินเล่นเลียบ Swan River จาก Kings Park เลาะขึ้นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็ขึ้นบัสกลับ นอกจากวิวทิวทัศน์จะดีแล้ว อากาศยังดีมากๆ อีกด้วยโดยเฉพาะช่วงแดดร่มลมตก ระหว่างทางยังมีจุดให้แวะพักถ่ายรูปไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นแม่นาง Eliza หรือบ้านสีฟ้ากลางน้ำที่กลายเป็นจุดเช็คอินยอดฮิตชนิดรอต่อคิวถ่ายรูปของพี่จีน กะพี่เกาหลีไปแย้ว


     6.2.3 Elizabeth Quay

     ด้วยความที่อยากกินหอยนางรมมาก เซิร์จไปเซิร์จมาเป็นวันที่ Oyster Bar ร้านอาหารดังตรง Elizabeth Quay ลดราคาพอดี (รู้สึกจะทุกวันพุธ) เลยได้โอกาสไปเดินเล่นตรงท่าเรือ แม้อาณาบริเวณจะไม่ใหญ่มากนักแต่ก็ไม่ได้พลุกพล่านด้วยนักท่องเที่ยวเหมือน Circular Quay ของ Sydney นอกจากที่นั่งเล่นริมท่าเรือแสนสงบแล้ว วันที่เราไปยังมีม้าหมุนมาตั้งให้ซื้อตั๋วเข้าไปนั่งเล่นรับลมได้ด้วย


     นอกจากสองเมืองนี้แล้วระหว่างที่ขับรถจาก Gold Coast มายัง Broome เราก็มีโอกาสแวะตามที่เที่ยวใน Western Australia (WA) อื่นอีกเล็กๆ น้อยๆ แต่ในอนาคตเราวางแผนไว้ว่าจะโร้ดทริปเส้น West Coast เช่น Karijini National Park หรือตามรอยทุ่งดอกไม้ป่า เลยคิดว่ารอรวบยอดมารีวิวทีเดียวเลยดีกว่า ถ้าได้ไปเดี๋ยวมาต่อตอนพิเศษให้นะฮะ



     6.3 Molly Springs

     ระหว่างที่บอสเร่งให้เดินทางมายัง Broome เพื่อทำงาน เราก็มีแอบเกเรแวะออกข้างทางไปตามที่เที่ยวธรรมชาติบ้าง อันนึงที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากแต่น่าแวะทีเดียวก็คือ Molly Springs แหล่งน้ำธรรมชาติที่มีแบ็คกราวน์เป็นหน้าผา จากจุดจอดรถต้องเดินต่อเข้าไปอีกหน่อย น้ำอาจไม่ได้ใสมาก แต่เย็นมาก เอ้ย สดชื่นมาก เหมาะแก่การแวะคลายร้อนระหว่างวัน


     7. Australian Capital Territory (ACT)

     เชื่อว่าน่าจะมีหลายคนที่เข้าใจผิดอยู่ว่าเมืองหลวงของออสเตรเลียคือ Sydney จริงๆ แล้วเมืองหลวงของออสเตรเลียมีชื่อว่า Canberra ซึ่งตั้งอยู่ใน Australian Capital Territory (ACT) ต่างหากนะฮะท่านผู้ชม


     7.1 Canberra

     สำหรับเราในตอนนั้น Canberra เป็นแค่เมืองทางผ่าน ด้วยความที่ไม่ได้ติดทะเล ไม่ได้มีอุทยานแห่งชาติน่าสนใจให้แวะ อารมณ์เป็นที่ตั้งทบวง-กระทรวง-กรมตั่งๆ ของรัฐบาลเท่านั้น 

     แต่จริงๆ แล้วสำหรับการอยู่อาศัยเราว่า Canberra เป็นเมืองที่น่าสนใจเมืองนึงเลย มีผังเมืองที่ดี มีความปลอดภัยสูง เงียบสงบ ที่เที่ยวส่วนใหญ่ในตัวเมืองมักจะเป็นพวกอนุสรณ์สถาน สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์สงครามต่างๆ (หารูปเมืองนี้ไม่เจอแล้ว น่าจะลบทิ้งไปตอนเคลียร์เมมกล้อง)

     แล้วสำหรับสายศิลปะ ที่นี่เป็นที่ตั้งของ National Gallery of Australia ที่เก็บสะสม และแสดงผลงานจำนวนมาก นอกจากนี้ Canberra ยังมีงานใหญ่ประจำปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากชื่อว่า Floriade อารมณ์ประมาณพืชสวนโลกของเรานี่เอง

 


ภาพประกอบ : งาน Floriade จาก floriadeaustralia.com

 

     8. Northern Territory (NT)

     แล้วก็เดินทางมาถึงดินแดนสุดท้ายของออสเตรเลียซักที เย่ กับ Northern Territory (NT) ดินแดนที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ตั้งแต่ตอนกลางจรดเหนือ ทว่าส่วนใหญ่เป็นพื้นที่แห้งแล้ง มีแต่ฝุ่น กับหญ้าแห้งๆ ทำเกษตรก็ไม่ได้ เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ค่อยดี (แต่เห็นอยู่ประปรายนะ) ฟังดูไม่ค่อยน่าอยู่ แต่จริงๆ ก็ไม่ค่อยน่าอยู่นั่นแหละ ฮ่าๆๆ มีเมืองที่ดังที่สุดคือ Darwin ที่ขึ้นชื่อเรื่องจระเข้ ทั้งจระเข้เลี้ยง จระเข้ป่า แต่เรายังไม่ได้ไป ไว้ถ้าได้ไปจะมารีวิว

 


     8.1 Alice Springs

     เราเดินทางมายัง NT ครั้งแรกในทริปที่เช่ารถบ้านจาก Alice Springs โร้ดทริปไป Uluru เลาะเรื่อยมาจนถึง Melbourne กับเพื่อนคนไทย และไต้หวันอีก 8 คน ความประทับใจแรกที่มีกับเมืองนี้ก็คือ มันจะร้อน และแห้งแล้งไปไหนวะ แถมแมลงวันก็เยอะ เพราะฉะนั้นคนที่จะเที่ยวแถบนี้ทำใจได้เลยว่าทั้งทริปจะเจอแต่ความร้อนแล้ง ถนนที่สองข้างทางไม่มีอะไรเลยไปตลอดทาง

     ในส่วนของ Alice Springs นั้นไม่ได้มีที่เที่ยวเด่นๆ มากนัก เราสุ่มเลือกแวะแค่ Simpsons Gap ซึ่งเป็นผาหิน (ที่เที่ยวทุกที่บริเวณนี้คือผาหินทั้งหมด ฮ่าๆๆ) ที่ตรงกลางเป็นธารน้ำ เอาจริงๆ แล้วค่อนข้างเล็กกว่าที่เห็นในรูปนะ ถ้าไม่แวะก็ไม่พลาดอะไร แต่ตอนนั้นโชคดีนิดนึงที่เจอ Black-Footed Rock Wallabies สัตว์ประจำถิ่นโผล่หน้ามาให้เห็นจากหลังกองหิน

  


     หลังจากนั้นก็เป็นเวลาของการตุนเสบียง จะบอกว่าซื้อไปเลย อยากได้อะไรซื้อไปเลย โดยเฉพาะเบียร์ เพราะหลังจากนี้เมื่อไปถึง Uluru ของทุกอย่างจะหายากขึ้น แพงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอลกอฮอลล์ที่ต้องไปซื้อในสถานที่พิเศษที่เขาจัดไว้ให้เท่านั้น


     8.2 Uluru-Kata Tjuta National Park

     และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ของทริปกับอุทยานแห่งชาติที่มีพระเอกเป็นเจ้าภูเขาหินทรายขนาดใหญ่  หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของออสเตรเลียอย่าง Ayers Rock (ชื่อเดิม) หรือที่เปลี่ยนชื่อใหม่ตามภาษาท้องถิ่นว่า Uluru นั่นเอง

     สถานที่นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากทาง UNESCO เพราะว่ามีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ชนพื้นเมืองเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนที่นี่เคยเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถปีนเขาขึ้นไปด้านบนได้ แต่หลังจากมีคนตกลงมาตายประกอบกับเหตุผลทางการอนุรักษ์ เขาก็ออกกฎห้ามปีนอีก


     8.2.1 Uluru

     Uluru มีความสำคัญในแง่ของการบันทึกเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนความเชื่อของชนพื้นเมืองโบราณ หรืออะบอริจินอล (น้านนานก่อนที่คนขาวจะเข้ามาบุกรุก) ร่องรอยอารยธรรมที่ทิ้งไว้ไม่ใช่แค่ยิ่งใหญ่ ทว่ายังบอกเล่าถึงแนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างคน กับธรรมชาติ

     การเที่ยวใน Uluru นี่ก็ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์เลย ถ้ามีเยอะหน่อยก็สามารถเลือกรีสอร์ทหรูที่แบบมีดินเนอร์ใต้แสงดาวอะไรแบบนี้ไปเลยก็ได้ หรือโรงแรมที่ราคาลดหลั่นกันลงมาก็มี สำหรับเราที่มีรถบ้านก็เลือกไปจอดที่ Caravan Park เลือกที่มีสระว่ายน้ำก็ดีค่ะ เพราะช่วงกลางวันร้อนมากจะได้มีที่แช่น้ำคลายร้อน มีที่ต่อไฟ ต่อน้ำเข้ารถ มีห้องอาบน้ำ และครัวกลางให้

     การจะเข้าไปยังพื้นที่เพื่อชมเจ้าหินยักษ์ก้อนนี้เราต้องซื้อพาสกับทางอุทยานเสียก่อน แนะนำให้เลือกแบบหลายวัน เพราะแต่ละช่วงเวลาตัว Uluru ก็มีความงดงามแตกต่างกันไป นักท่องเที่ยวนิยมมาชม Uluru ในช่วงพระอาทิตย์ตก แสงอาทิตย์ที่มาจากด้านหลังจะค่อยๆ อาบย้อมตัวหินให้กลายเป็นสีแดงอมส้มตัดกับท้องฟ้าที่ค่อยๆ หม่นลงเรื่อยๆ บางคนก็หิ้วเก้าอี้ปิกนิกมานั่งจิบเบียร์ชิลล์ๆ บางคนก็มาพร้อมกล้องส่องทางไกล ส่วนเราก็ช่วยกันปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคารถบ้านอย่างทุลักทุเลนิดๆ แต่เป็นไอเดียที่ดีมาก เพราะไม่มีใครบังเลย

 

     หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปเราสามารถจองทัวร์ Field of Light Uluru เพื่อไปชมภูเขาตอนกลางคืนซึ่งประดับประดาด้วยไฟได้ เราก็จองไปเหมือนกันแต่โดนยกเลิกเพราะฝนตก แงง หารูปจากอินเตอร์เน็ตมาแปะให้ ใครได้ไปฝากซ่อมให้หนึ่งนัด


ภาพประกอบ : www.ayersrockresort.com.au


     สำหรับเราแล้วช่วงเวลาที่สวยที่สุดของ Uluru คือตอนพระอาทิตย์ขึ้น ภาพของแสงสีทองที่ค่อยๆ โผล่พ้นภูเขาอาบย้อมทุ่งดอกไม้ป่าให้เป็นสีทอง มองเห็น Uluru เป็นสีเข้มอยู่ฉากหลัง เป็นหนึ่งในพระอาทิตย์ขึ้นที่ดีที่สุดของเราเลย

 


     แต่พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็หมายความว่าความร้อนไล่หลังมาแล้วจย้า ไป เก็บข้าวเก็บของเตรียมเดินก่อนจะร้อนไปกว่านี้

     เพื่อสำรวจพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้แล้วเราสามารถเลือกเทรลได้หลากหลาย ตอนนั้นเราเลือกอันที่เดินครบรอบทั้ง Uluru ไปเลย ซึ่งบอกเลยว่าทรมานมากกก ด้วยเทรลนี้เราจะสามารถเห็นเจ้าหินนี้ได้จากทุกมุม เดินผ่านทุกจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียน หรือห้องที่ชาวอะบอริจินใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ในอดีต ความยาวของเทรลเกือบๆ 11 กิโลเมตรไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือมันร้อนมากแม่ ลองคิดภาพเดินตากแดดเที่ยงวันเดือนเมษาซัก 4 ชั่วโมงที่หันซ้ายก็หิน หันขวาก็ทุ่งหญ้าแห้งๆ อ่ะ เท่าที่เห็นคือนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกใช้บริการรถทัวร์ พาขับแวะจอดให้ลงสำรวจเป็นจุดๆ หรือบางคนก็มาด้วย Segway ด้วยจักรยาน เอาตามแต่ใจจะไขว่คว้าเลย

 


     8.2.2 Valley of the Wind

     ภายในอุทยานแห่งชาติเดียวกันยังมีเทรลต่างๆ ให้เลือกเดินตามแต่กำลังขา โดยเส้นที่เราเลือกไปเรียกว่าค่อนข้างฮิต และไม่ลำบากเข่ามากนักนั่นก็คือหุบเขาแห่งสายลม Valley of the Wind นั่นเอง เอาจริงๆ เราชอบที่นี่มาก ด้วยความที่เป็นทางเลาะเลียบไหล่เขามุ่งสู่หุบผาทำให้มีลมพัดผ่านสมกับชื่อช่วยให้อากาศดีตลอดเส้นทาง

     ระหว่างทางก็มีทางลื่นบ้าง ต้องเกาะเกี่ยวป่ายปีนบ้าง แต่โดยรวมคือเดินง่าย เดินสนุก เอาจริงเวลาเดินป่าเดินเขาอะไรแบบนี้ความยาก ความไกลไม่ใช่ปัญหาเลย ที่ไม่ถูกโรคคือความร้อน แค่ไม่ทันเหนื่อยก็พาเรามายังจุดชมวิวที่มองลงมาเห็นภูเขาจากมุมสูงแล้ว รวมถึงตลอดทางยังมีดอกไม้ป่า มีสีเขียวของใบไม้แซมให้ชุ่มชื่นใจด้วย เป็นที่ที่กาดอกจันให้ว่าต้องมา

 

     8.3 Kings Canyon

     ยัง การเดินเขามันยังไม่จบค่ะคุณกิตติ วันรุ่งขึ้นเราเริ่มขับรถราวเที่ยงคืนย้อนกลับมาจากทางเก่าเพื่อไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Kings Canyon ท่ามกลางอากาศที่หนาวจนควันออกปาก

     เราเริ่มเส้นทางกันราวๆ ตีสี่ครึ่งกับ Kings Canyon Rim Walk ที่กินระยะแค่ 6 km แต่ทั้งชัน ทั้งเต็มไปด้วยความยากจนได้ฉายาว่า Heart Attack Hill (เชื่อยังว่าชันขนาดไหน) ด้วยความที่ตื่นมาแล้วก็สะลึมสะลือออกเดินเลย ไม่มีข้าวเช้าอะไรตกถึงท้องทั้งนั้น กว่าจะลากสังขารมาถึงจุดชมพระอาทิตย์ก็เลทไปเป็นสิบนาที แต่ถึงจะพลาดจังหวะทองนั้นไป ทว่าภาพภูเขาที่ย้อมด้วยแสงแรกจนกลายเป็นสีทองก็คุ้มค่าแก่การเดินขึ้นมามาก

     แต่เดี๋ยวสงครามนี้ยังไม่จบ นี่มันแค่จุดเริ่มต้นค่ะคุณกิตติ เราต้องเดินวนให้ครบลูป (นึกภาพเดินบนเหลี่ยมเขาเส้นทางเป็นรูปเกือกม้าที่ตรงกลางเป็นหุบเขาลงไป) เพื่อชม Kings Creek จากมุมสูง ตลอดเส้นทางมีจุดให้ตื่นตาตื่นใจตลอด อาทิ Sandstone domes, Garden of Eden และอื่นๆ เหนื่อยมากก แต่ก็เป็นเทรลที่ดีมากเช่นกัน ถ้าใครจะไปอย่าลืมเตรียมน้ำ และอาหารเพิ่มพลังงานติดกระเป๋าไปด้วยไม่งั้นมีหงอยกลางทางแน่แม่

 


     8.4 Katharine

     หลังจากย้ายเมืองไปหลายเมือง ขณะที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับชายหาดฝั่งตะวันออกของประเทศ ก็มีเหตุให้ต้องย้ายไปทำงานที่เมืองทางตะวันตกในรัฐ Western Australia โร้ดทริปฉบับกึ่งเร่งรีบ (โดนบอสใหม่เร่ง) กึ่งทิงนองนอย (อิดออดต่อรองเพราะอยากเที่ยว) ก็เริ่มต้นขึ้นจาก QLD ผ่าน NT มายัง WA

     ในตอนแรกอยากไปแวะ Kakadu National Park ซึ่งเป็นหนึ่งในอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาก แต่ดูเวลาแล้วอาจโดนกินหัวได้เราจึงแวะเก็บเล็กเก็บน้อย แบบร้อนก็แวะลงไปว่ายน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ จุดชมวิวไหนไม่ออกนอกเส้นทางมากก็แวะดูซะหน่อย

     ตลอดเส้นทางเราจะเห็นถึงภูมิประเทศที่แปลกตาไปอีกแบบของออสเตรเลีย ภาพของถนนเส้นยาวที่ตัดผ่านภูเขา และทุ่งเวิ้งว้าง โดยถนนเล็กที่พาเราออกข้างทางอาจพาเราไปยังน้ำตก หรือน้ำพุร้อนสวยๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังดงต้นไม้ (หมายเหตุไว้อีกนิด เครือข่ายมือถือ Optus ใช้งานไม่ได้ที่นี่ ควรโหลดแผนที่เก็บใส่เครื่องหรือลองผู้ให้บริการเจ้าอื่น)

ตอนที่เราผ่านไปยัง Katharine โชคดีมากที่พนักงานคาเฟ่ที่เราแวะแนะนำให้ไปแวะเล่นน้ำตรงแหล่งน้ำธรรมชาติระหว่างทาง ทำให้เรารู้ว่าออสเตรเลียมี Hidden gem สวยๆ อีกเยอะมากที่ควรไป

 


     8.4.1 Katharine Hot Springs

     แหล่งน้ำพุร้อน (ก็ไม่ร้อนเท่าไหร่นะ) ที่สวยมากของเมือง คนที่ไม่รู้อาจหยุดเล่นแค่ตรงที่เป็นธารน้ำตอนต้น แต่ส่วนที่สวยจริงๆ ต้องเดินต่อเข้าไปอีกหน่อย จากตอนแรกที่ผมหมาด บิกินี่แห้งไปแล้ว พอเห็นภาพของบันไดไม้ที่พาเราลงไปสู่แหล่งน้ำใสแจ๋วโอบล้อมด้วยโขดหิน และต้นไม้ใหญ่ก็ทนไม่ไหวขอลงน้ำอีกรอบ ยกให้เป็นหนึ่งในแหล่งน้ำธรรมชาติในดวงใจจนถึงตอนนี้เลย

 


     ในที่สุดก็เดินทางมาถึงตอนจบจนได้ เย้ จะบอกว่าใช้เวลาเขียนไม่นานเลย เสียเวลาไปกับการหา และจัดการรูปมากกว่า ฮ่าๆๆ ขอโทษที่รอบนี้มีรูปคนซะเยอะ เพราะไม่ได้เอาฮาร์ดดิสมาจากออส เลยหารูปได้ตามมีตามเกิด เซฟที่เคยลงจากเฟส จากไอจีบ้าง

     อยากจะบอกเป็นการส่วนตัวว่าออสเตรเลียเป็นประเทศที่น่าเที่ยวมากประเทศนึงเลย การจะเที่ยวให้ทั่วอาจต้องใช้เวลา แต่ก็ไม่ได้ยาก หรือแพงอย่างที่คิด โดยเฉพาะถ้ามีรถส่วนตัว และเต็นท์สักหลัง เพราะค่าใช้จ่ายหลักๆ เวลาเที่ยวมักจะอยู่ตรงค่าที่พักนี่แหละ

     สำหรับคนที่มาด้วยวีซ่า Work and Holiday และไม่ได้มีปัญหาด้านต้องเมคมันนี่ขนาดนั้น เราอยากบอกว่าลองให้เวลาซักเดือนออกไปเที่ยว ไปในเมืองที่ยังไม่เคยไป ไปในเมืองที่ไม่มีใครพูดภาษาเดียวกับเรา หรือจะลองออกไปทำงานในเมืองที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนก็ได้ เอาจริงๆ เมืองห่างไกลนี่จ่ายค่าแรงต่อชั่วโมงดีกว่าในเมืองใหญ่อีกนะ แถมที่พักก็ถูก (ทำไมฟังเหมือนช่วยโฆษณาให้รัฐบาลบ้านเขา ฮ่าๆๆ)

     มันเป็นการเปิดประสบการณ์ไปในอีกรูปแบบ มันไม่ใช่แค่การเที่ยวแต่เป็นการพาเราไปรู้จักกับโลกในมุมอื่นๆ ไปเจอคนหลากหลายรูปแบบจากทั่วทุกมุมโลกที่วันนึงอาจกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกันก็ได้ หรือโชคดีไปกว่านั้นเราอาจเจอเพื่อนร่วมทางตลอดชีวิตที่ทำให้การเดินทางครั้งใหม่ๆ มีเรื่องให้จดจำอยู่เสมอ รีบไปก่อนที่ข้อเข่าข้อขาจะพาเราไปไม่ไหว ภูเขาที่นี่ไม่มีเลนวีลแชร์นะเออ


----------------------------------------------------

     ติดตามบทความตอนอื่นๆ ของคุณน้ำพลอยได้ทาง Thaiwahclub